ตอนเรียนประวัติศาสตร์ คงมีคนหลายคนสงสัยว่าจะเรียนไปทำไม
เนื้อหาพูดแต่เรื่องอดีต ไม่เห็นน่าสนใจหรือมีประโยชน์อย่างไรเลย
แต่ถึงอย่างนั้น สำหรับคนที่ชอบประวัติศาสตร์แล้ว
การเรียนรู้ในเรื่องเหล่านี้ก็เพื่อไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้ง
ที่สอง
เพราะบางครั้งประวัติศาสตร์ก็ได้แสดงให้ถึงความโหดร้ายผิดมนุษย์เหลือเกิน
จนไม่อยากจะเชื่อว่าเขาทำอย่างนั้นกันได้อย่างไร
บทความนี้จะนำพาทุกท่านไปพบกับ 5 อารยธรรมสุดโหดที่เคยมีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
เดอะเซลท์ (The Celts)
เนื่องจากชนกลุ่มนี้มักจะมีปัญหากับชาวโรมันอยู่เสมอๆ
ในประวัติศาสตร์ได้ทำการบันทึกไว้ว่า
หากชนกลุ่มนี้รบชนะคู่ต่อสู้แล้วก็จะทำการตัดหัวของคู่ต่อสู้มาทำการประดับ
บ้าน ทั้งในและนอกบ้าน เรียกกันว่าเข้าไปชนกลุ่มนี้เมื่อไหร่
ได้เห็นหัวคนห้อยระโยงรยางค์เต็มไปหมด
ยิ่งบ้านไหนมีมากแสดงว่าเป็นบ้านของนักรบที่เก่งกาจ
ชาวแอซแทค (The Aztecs)
จากการบันทึกทางประวัติศาสตร์ทำให้เราได้ทราบว่าวิธีกำจัดศัตรูของชาวแอซแทค
ว่าหฤโหดเกินจินตนาการแค่ไหน
โดยวิธีการของเขาก็คือจะนำเอาศัตรูมาอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายก่อน
จากนั้นก็จะนำเสื้อคลุมของเทพดวงอาทิตย์มาใส่ให้จากนั้นก็นำขึ้นไปบนหอคอย
สูงประมาณสัก 30 เมตร
แล้วจากนั้นก็จะให้นักบวชชาวแอซแทคจับแขนขาไว้คนละข้างทำการยึดเอาไว้
จากนั้นก็จะมีนักบวชอีกคนค่อยๆ ใช้หินมีดผ่าเปิดหน้าอกช้าๆ
(ศัตรูคงร้องและดิ้นร้นน่าดูเลย)
แล้วจึงดึงหัวใจที่กำลังเต้นออกมาแล้วทำการชูไปที่ดวงอาทิตย์
แล้วก็ถีบศพทิ้งมาลงตามบันได้ ให้คนควักเอาตับ ไต ไส้พุง รวมถึงอวัยวะต่างๆ
กินกันดิบๆ อย่างนั้นเลย
บางครั้งพวกนักบวชจะถลกหนังเหยื่อและนำมาคลุมร่างไว้ราว 20
วันโดยไม่ทำการอาบน้ำเลย ซึ่งจากประวัติศาสตร์ที่ได้ทำการบันทึกไว้
ทำให้เราทราบว่ามีคนไม่ต่ำกว่า 20,000 คนที่ตายด้วยวิธีนี้ภายในเวลาเพียง 4
วัน
ชาวอัสซีเรียน (Assyrians)
ชนกลุ่มนี้มีอารยธรรมอยู่ประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล
มีถิ่นฐานอยู่ในดินแดนทางตอนเหนือของเมโสโปเตเมีย แถบลุ่มแม่น้ำไทกรีส
มีความเจริญสูงสุดในช่วง 745-626 B.C. เหล่านักรบของอัสซีเรียน
ได้ชือว่ามีความสามารถในการรบอย่างน่ากลัวที่สุด
โดยในการรบจะใช้กองทัพธนูเหล็กเป็นทัพหน้าตามด้วยกองพันทหารม้าและรถศึก
นอกจากนี้พวกเขายังมีอาวุธที่สุดมหัศจรรย์นั่นก็คือ เหล็ก
(พวกอื่นยังใช้ทองแดงกับสำริดอยู่) ดังนั้นเมื่อปะทะอาวุธกัน
จึงไม่ต้องคิดเลยว่าใครจะได้เปรียบ หลังจากการรบแล้วจะทำการเผา
และทำการกวาดต้อนเชลยมารวมกันทำการสังหารหมู่
และนำหัวมาแขวนไว้ข่มขวัญศัตรู
ชาวสปาตัน (The Spartans)
จำหนังเรื่อง 300 ได้หรือไม่ครับ นั่นละคือชนเผ่านี้ แต่ในความจริงแล้ว
ชนเผ่านี้นะ โหดกว่าที่ในภาพยนตร์แสดงเยอะเลย ฉากที่โยนเด็กทารกจากหน้าผานะ
ในประวัติศาสตร์นะมีจริงนะครับ พวกเขาจะกำจัดเด็กที่บกพร่องทางร่างกาย
(รูปร่างผิดปรกติและพิกลพิการ) ด้วยการโยนจากหน้าผา พวกที่อยู่นั้นพออายุ 7
ปี เด็กผู้ชายก็จะถูกพรากไปจากพ่อและแม่ ไปทำการฝึกเป็นนักรบ
และทำการเคี่ยวโดยการให้รบกันเองจนเหลือสุดยอดนักรบ
จักรวรรดิมองโกล
นี่ละสุดยอดนักรบในตำนาน มหาโหด จนสุดโหด
กล่าวได้ว่าหากเจงกิสข่านไม่ตายซะก่อนมีหวังโลกทั้งโลกได้อยู่ในอุ้งเท้าของ
ชนกลุ่มนี้แน่ๆ นักรบกลุ่มนี้โหดแค่ไหน
ดูจากชื่อเรียกที่ชาวยุโรปเรียกเอาก็แล้วกันครับ Tartar
ซึ่งแปลว่าผู้มาจากทาทารัส
ซึ่งคุณเจ้าทาทารัสนี่คือนรกที่ลึกที่สุดในตำนานของกรีก
คำนวณกันว่าระหว่างที่ชาวมองโกลเผยแพร่อิทธพลอยู่นั้นมีคนเสียชีวิตไปไม่ต่ำ
กว่า 30 ล้านคน และทำให้ภายให้เวลาเพียง 50 ปี
ประชาชนในประเทศจีนลดลงไปครึ่งหนึงทีเดียว
(ภาษาชาวบ้านเรียกว่าตายกันแหลกราญ)
สาเหตุที่คนตายกันแบบวินาศเช่นนี้เพราะชาวมองโกลมักจะทำการฆ่าแบบล้างเผ่า
พันธุ์สำหรับชนเผ่าที่ไม่ยอมจำนน เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับศัตรู
ในปี ค.ศ. 1346 กองทัพมองโกลเข้าโจมตีเมือง แคฟฟา ของอิตาลี
กองทัพของมองโกลไม่สามารถตีเข้าเมืองได้
และในจังหวะนั้นได้เกิดมีกาฬโรคขึ้นในกองทัพมองโกล
ไม่รุ้ไปได้แนวคิดสุดโหดมาจากไหน ขณะที่ทหารกำลังตายเป็นใบไม้ร่วง
แทนที่จะนำศพไปฝังหรือเผา
กับนำเอาศพเหล่านั้นแทนก้อนหินใส่เครื่องยิงเข้าไปในเมืองแคฟฟาทำให้คนใน
เมืองแตกตื่นจนขวัญหนีเมื่อเป็นศพที่ถูกยิงเข้ามา
และแน่นอนโรคนี้ก็เข้าไประบาดในเมือง จนคนล้มตายเป็นจำนวนมาก
นี่อาจจะเป็นการใช้อาวุธเชื้อโรคครั้งแรกที่มีการบันทึกก็ได้
แต่ความโหดของกองทัพนี้ยังไม่ได้หยุดแค่นี้
หลังจากตีเมืองแคฟฟาได้แล้วก็ลุยต่อไปข้างหน้าเพื่อโจมตีเกาะชิชิลี
และยุโรปตะวันออก โดยใช้วิธีเดียวกันนี้
เล่นเอาในการรบคราวนี้มีคนล้มตายเพราะอาวุธเชื้อโรคชนิดนี้ไปน่าจะไม่ต่ำ
กว่า 25 ล้านคน
ที่มา http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cartoonthai&month=23-07-2013&group=231&gblog=130