"ในสงครามย่อมต้องมีผู้เสียสละ"
คำพูดนี้อาจจะดูเหมือนดาบ 2 คม ที่สามารถสื่อถึงแง่ดีหรือแง่ร้ายก็ได้
ถ้าในแง่ร้ายก็หมายถึง การยอมสละคนหมู่มากเพื่อตัวคนเดียว
หรือถ้าแง่ดีก็ิอาจจะหมายถึง
ยอมสละชีวิตตัวคนเดียวเพื่อรักษาสิ่งสำคัญบางอย่างเอาไว้...
แล้วไอ้ที่เสียสละตัวคนเดียวเนี่ย มันมีด้วยรึไง? ขอตอบเลยครับว่ามี
และในบทความนี้ผมจะขอยกตัวอย่าง "สุดยอดนักรบทั้ง 7 ในประวัติศาสตร์ที่ยืนหยัดสู้กับทหารนับร้อยนับพันด้วยตัวคนเดียวจนวินาทีสุดท้าย" ส่วนจะมีใครกันบ้าง ไปติดตามกันครับ
อันดับที่ 7: กษัตริย์เอจิส ที่ 3 แห่งสปาต้า (Agis III of Sparta)
กษัตริย์เอจิสที่ 3
เป็นกษัตริย์แห่งสปาต้าที่มีชีวิตอยู่ในช่วง 300 กว่าปีก่อนคริสตกาล
(ได้ขึ้นครองราชย์จากพ่อในช่วง 338 ปีก่อนคริสตกาล) อยู่ในยุคเดียวกับ กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 แห่งมาซิโดเนีย หรือ กษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช ที่
เราได้ยินกันบ่อยๆ แต่ก่อนที่กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ขึ้นครองราชย์
เมืองมาซิโดเนียมีกษัตริย์ฟิลิปส์ที่ 2 ปกครองอยู่
โดยกษัตริย์ฟิลิปส์คนเนี้ย
ต้องการรวมแผ่นดินกรีกให้อยู่ไว้ใต้มาซิโดเนียแต่เพียงเมืองเดียว
จึงดำเนินการทั้งการทูตและทางทหารจนรวบรวมหลายเมืองเข้ามาไว้ด้วยกัน
กลับมาเข้าเรื่องกันต่อ
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ต้องไปรบกับกษัตริย์ชาวเปอร์เซีย
นามว่า ดาริอุสที่ 3 การไปรบครั้งนี้
ทำให้เมืองพันธมิตรมองกรีกว่าเป็นเมืองที่กระหายสงคราม(แต่ตัวกรีกเองมองว่า
เค้าแค่อยากรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้นเองนะ)
จึงได้เริ่มทำการก่อกบฎ และเช่นเดียวกันกับเมืองของชาวสปาต้า
กษัตริย์เอจิสที่ 3
ได้รวบรวมทหารชาวสปาต้าจำนวนหนึ่งและจ้างทหารรับจ้างชาวกรีกอีก 8000 คน
เข้าร่วมปลดแอกครั้งนี้ (หลังจากนั้นก็มีกองทหารจากเมืองอื่นเข้าร่วมด้วย)
กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ที่ออกไปรบกับทหาร
เปอร์เซียรู้ข่าวว่ากษัตริย์เอจิสที่ 3 คิดไม่ซื่อ จึงส่งทหารฝีมือฉกาจถึง
40,000 กว่าคนไปปราบ การต่อสู้ของทั้ง 2 ฝ่ายเป็นไปอย่างดุเดือด
แต่ว่าทหารทางฝั่งสปาต้าค่อยๆล้มตายไปเรื่อยๆ กษัตริย์เอจิสที่ 3
เห็นสถานการณ์ไม่ดี จึงได้สั่งให้ทหารทุกคนถอยทัพกลับไป
และจากนั้นตัวกษัตริย์เอจิสที่ 3
ก็จับอาวุธเข้าฟาดฟันกับกองทหารกรีกด้วยตัวคนเดียวเพื่อซื้อเวลาให้กองทหาร
ของเค้าถอยทัพกลับไปอย่างปลอดภัย แต่ไม่นานนัก กษัตริย์เอจิสที่ 3
ก็ถูกหอกแทงจนเสียชีวิตคาสนามรบ
อันดับที่ 6: เซมโพรนิอุส เดนซุส องครักษ์แห่งโรมัน(Sempronius Densus)
เซมโพรนิอุส เดนซุส
เป็นทหารองครักษ์ชาวโรมันที่มีหน้าที่คุ้มครองจักรพรรดิกาลบา (Galba
Emperor) ซึ่งแต่เดิมจักรพรรดิกาลบานี้เคยเป็นแม่ทัพ
ก่อนจะยกทัพเข้ามารัฐประหารในเมืองโรม
อันเนื่องมาจากความสับสนวุ่นวายในปลายรัชสมัยของจักรพรรดิ นีโร
Pugio มีดสั้นติดตัวทหารโรมัน
หลังจากที่จักรพรรดิกาลบายึดอำนาจแล้ว
มีอยู่วันหนึ่ง
ทหารโรมันนับพันคนได้เดินทัพเข้ามาเพื่อจะสังหารจักรพรรดิกาลบา แต่ว่า
เดนซุส เห็นกองทหารเหล่านั้นจึงได้ไปห้าม แต่ไม่เป็นผล
กองทหารโรมันยังคงเดินเท้าเข้ามาเรื่อยๆ เดนซุสจึงตัดสินใจชัก Pugio
ซึ่งเป็นมีดสั้น ก่อนกระโจนเข้าสังหารทหารโรมันจำนวนมาก
แต่แล้วเดนซุสก็ถูกจับกุม ก่อนจะถูกสังหารในท่านั่งคุกเข่า
ส่วนจักรพรรดิกาลบาก็ถูกจับได้ในเวลาไล่เลี่ยกันและถูกจับตัดคอเสียบประจาน
แห่ไปรอบเมือง
อันดัีบที่ 5:เตียนอุย องครักษ์แห่งวุยก๊ก (Dian Wei)
เตียนอุย
มีชีวิตอยู่ในช่วงสงครามสามก๊ก ซึ่งประกอบไปด้วย ง่อก๊ก(ซุนกวน),
จ๊กก๊ก(เล่าปี่) และ วุยก๊ก(โจโฉ) โดนในตอนแรกเตียนอุยเป็นเพียงทหารธรรมดา
วันหนึ่ง เกิดลมพัดแรงมากจนธงโจโฉจะหัก
ทหารหลายคนต่างพยายามไปต้านเอาไว้จนไม่ไหว
เตียนอุยจึงได้เข้าไปดันธงด้วยพละกำลังที่มหาศาล
โจโฉเห็นว่าเตียนอุยมีพละกำลังมาก จึงแต่งตั้งให้เป็นองครักษ์
มีครั้งหนึ่ง โจโฉได้ยกทัพไปตีเมืองอ้วยเซีย
ซึ่งมีเตียวสิ้วปกครองอยู่
เตียวสิ้วรับรู้ได้ว่าถ้าหือกับโจโฉมีหวังศพไม่สวยแน่ๆ
จึงยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดี และเชิญโจโฉเข้ามาเลี้ยง แต่ในเหตุการณ์ตอนนั้น
โจโฉก็เหลือบไปเห็นนางเจ๋าซือ อาสะใภ้ของเตียวสิ้ว ก็เกิดอาการหลงรัก
หวังจะได้มาเป็นเมียอีกคน ทางเตียวสิ้วเองรู้ว่าโจโฉชอบอาสะใภ้ก็โกรธมาก
แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะมีเตียวอุยยืนขวางคออยู่
เฮาเฉีย
ขุนพลของเตียวสิ้วจึงได้ออกอุบายมอมเหล้าเตียวอุยจนน๊อคคาแก้วเหล้าแล้วนำ
อาวุธคู่กายของเตียนอุยไปซ่อน(บางแหล่งก็บอกว่าไม่ได้เอาอาวุธไปซ่อน)
ก่อนจะยกทัพไปตีค่ายโจโฉ
โจโฉเมื่อไม่มีเตียนอุยคอยคุ้มกันก็หนีหัวซุกหัวซุนออกจากค่ายกลับไปเมืองฮู
โต๋ ทางด้านเตียนอุยเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าึค่ายของโจโฉถูกโจมตี
จึงพยายามคว้าอาวุธไปช่วย แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
จึงตัดสินใจออกไปสู้กับกองทัพเตียวสิ้วตัวลำพัง โดยคิดว่าโจโฉยังอยู่ในค่าย
จึงต้องปกป้องโจโฉไว้ให้ถึงที่สุดจนกระทั่งถูกรุมสังหารเสียชีวิตคาสนามรบ
อันดับที่ 4: นักรบไวกิ้งที่สแตมฟอร์ดบริด (The Viking at Stamford Bridge)
ในช่วงปี 1066
ประเทศอังกฤษเกิดความระส่ำระสาย
เนื่องจากการแย่งชิงอำนาจจากทางตัวอังกฤษเอง ฝรั่งเศส
รวมไปถึงไวกิ้งแห่งนอร์เวย์ ซึ่งมีแกนนำชื่อว่า ฮาราลด์ ฮาดราดา (Harald
Hardrada) โดยตัวพระองค์อ้างสิทธิในราชบัลลังก์จากข้อตกลงที่กษัตริย์คนุต
พระราชาองค์ก่อนที่ครองอังกฤษ เคยทำไว้กับราชาแมกนุส พ่อของตัวเอง
โดยยกทัพทางทะลเข้ามา ก่อนจะเข้ามาทางสแตมฟอร์ดบริด (Stamford Bridge)
ตายเพราะโดนหอกแทงไข่
ในขณะที่ทหารไวกิ้งได้เข้ามาพักที่บริเวณ
สแตมฟอร์ดบริด
ทหารอังกฤษที่แอบซุ่มอยู่ก็เริ่มโจมตีใส่ทหารไวกิ้งที่เหนื่อยล้า
มีเพียงทหารไวกิ้งบ้าเลือดเพียงคนเดียวที่ถือขวานกับโล่วิ่งเข้าสังหารทหาร
อังกฤษอย่างบ้าคลั่งอยู่แถวบริเวณสะพาน ไม่ว่าจะลูกธนู ดาบ
หรือขวานก็ไม่สามารถล้มไวกิ้งคนนี้ได้
เหล่าทหารอังกฤษที่ซุมโจมตีนั้นก็รู้สึกเริ่มหวาดกลัวที่ไม่สามารถฝ่านักรบ
ไวกิ้งคนนี้ไปได้เลย แต่ทัน
ใดนั้นเอง ก็มีทหารอังกฤษคนหนึ่งคิดอะไรแผลงๆขึ้นมาได้บางอย่าง
เค้าตัดสินใจวิ่งไปแถวๆต้นน้ำ ก่อนจะนำถังไม้เอาไปไว้ในแม่น้ำ
แล้วตัวเค้าเองก็ซ่อนอยู่ถังนั้น ถังไม้ค่อยๆลอยตามกระแสน้ำไปเรื่อยๆ
จนมาถึงจุดใต้สะพานที่มีไวกิ้งบ้าเลือดอยู่
และเมื่อมาถึงจุดที่ชาวไวกิ้งยืนอยู่
ทหารอังกฤษที่อยู่ในถังไม้ก็ใช้หอกแทงทะลุพื้นไม้ขึ้นไปยังจุดอ่อนเดียวของ
นักรบไวกิ้งนั่นก็คือ อัณฑะ นั่นเอง (เสียวแทนวุ้ย)
อันดับที่ 3: ไซโตะ มุซาชิโบ เบ็งเค พระนักรบแห่งยุคสงครามเฮจิ (Saito Musashibo Benkei)
ไซโตะ มุซาชิโบ เบงเค
เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกพ่อกับแม่นำมาทิ้งไว้ โดยบางตำนานกล่าวไว้ว่า
เบ็งเคเป็นเด็กปีศาจมีผมรุงรังและฟันยาว
แต่ถึงอย่างนั้นเค้าก็ถูกชุบเลี้ยงจากพระในวัดและบวชเรียนตั้งแต่อายุยัง
น้อย อีกทั้งได้เดินทางไปยังวัดหลายแห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น
ทำให้เบ็งเคได้รับการฝึกสอนวิชาการรบ เมื่ออายุได้ 17 ปี กล่าวกันว่า
เค้าสูงถึง 2 เมตร(O_O!)
ด้วยเหตุนี้เบ็งเคจึงออกจากวัดไปบำเพ็ญตนกับพระภูเขาที่เรียกว่า ยามาบูชิ (Yamabushi)
ครั้งหนึ่งเบ็งเคได้อยู่ที่สะพานโกโจในเกีย
วโต เพื่อรวบรวมดาบจากพวกนักดาบที่ข้ามสะพานนี้ให้ได้ 1000 เล่ม
โดยเค้าเชื่อว่า หากรวบรวมดาบได้ครบ 1000 เล่มแล้ว จะทำให้ฆ่าตัวตายได้
ซึ่งก่อนหน้านั้นในช่วงวัยเด็กเป็นต้นมา
เบ็งเคพยายามฆ่าตัวตายเพราะเกิดอาการน้อยใจที่ตัวเองไปที่ไหนก็โดนล้อว่า
เป็นลูกปีศาจ แต่ทำยังไงก็ไม่ตายซักที
เลยมีพระนักบวชท่านหนึ่งแนะนำให้รวบรวมดาบ 1000 เล่ม
แล้วจะสามารถฆ่าตัวตายได้ (อารมณ์ประมาณองคุลีมาลเลยแฮะ)
ทว่าเมื่อเขารวบรวมดาบได้ถึงเล่มที่ 999
เบ็งเคก็ไปท้าโยชิซึเนะต่อสู้ เพื่อที่จะยึดดาบของโยชิซึเนะเป็นเล่มที่
1000 แต่เขากลับพ่ายแพ้ให้แก่โยชิสึเนะ
หลังจากนั้นเขาก็ขอเป็นผู้ติดตามโยชิสึเนะ
เขาได้ร่วมต่อสู้กับโยชิสึเนะในสงครามเกนเป
หลังสงครามก็ถูกโยริโทโมะที่เป็นพี่ชายของโยชิซึเนะไล่ล่า
เบ็งเคกับโยชิสึเนะได้หลบหนีเป็นเวลาถึง 2
ปี ในฐานะคนนอกกฎหมาย ท้ายสุดเมื่อปราสาททาคาดาจิถูกล้อมโดยพวกของโยริโทโมะ
และการโดนล้อมครั้งนี้
ทำให้โยชิสึเนะตัดสินใจกระทำฮาราคีรี(คว้านท้องตัวเอง)
โดยมีเบ็งเคคอยยืนเฝ้าด้านนอก
ไม่ให้ทหารของโยริโทโมะเข้าไปทำลายพิธีอันทรงเกียรติของโยชิสึเนะ
เบ็งเคได้ต่อสู้และถูกธนูจำนวนมากยิงเข้าใส่ แต่ถึงอย่างนั้น
เบ็งเคก็ยังคงยืนเฝ้าจนวินาทีสุดท้าย ก่อนจะสิ้นใจไปในท่ายืนเฝ้าแบบนั้น
จนเป็นที่กล่าวขานกันต่อมา
อันดับที่ 2: ร้อยโท แฟรงค์ ลุค เสืออากาศแห่งกองทัพอเมริกา (Lieutenant Frank Luke)
ร้อยโท แฟรงค์ ลุค
เป็นทหารอากาศชาวอาริโซน่าในสมัยสงครามโลกครั้ง 1
ซึ่งสมัยยังไม่มีเทคโนโลยีก้วหน้ามากนัก ไม่มีนักบินแบบไร้คนขับ(UAVs),
ไม่มีเรดาห์ หรือดาวเทียม จะมีเพียงแต่บอลลูนสอดแนมเท่านั้น
ที่มีทหารประจำอยู่และคอยรายงานความเคลื่อนไหวของทหารบนพื้นดิน ดังนั้น
ร้อยโทแฟรงค์จังได้รับมอบหมายให้กำจัดทั้งเครื่องบินและบอลลูนของข้าศึก
ซึ่งภายกิจส่วนใหญ่เค้าชอบออกบู๊เดี่ยวมากกว่า จนได้รับฉายาว่า "หมาป่าเดียวดาย (lone wolf)" โดย
เวลาเพียงแค่ 17 วันเท่านั้น แฟรงค์สามารถกำจัดอากศยานข้าศึกไปได้ถึง 18 ลำ
รวมไปถึง 1 ภารกิจที่เค้าสามารถยิงบอลลูนข้าศึกไปได้ 2 ลำ
และเครื่องบินขับไล่ของข้าศึกอีก 3 ลำ ภายในเวลา 10 นาทีเท่านั้น(เมพเกิ๊น)
จนกระทั่งในปี 1918 เหนือน่านฟ้าเมือง Murvaux
ประเทศฝรั่งเศส ร้อยโท แฟรงค์
ได้ขับเครื่องบินลุยเดี่ยวอยู่แถวแนวหลังของข้าศึกโดยมีเป้าหมายในการทำลาย
ฐานบอลลูน สนามบิน และ ข้าศึก ที่อยู่แถวนั้น แต่นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
เพราะว่า เค้าต้องหลบฝ่าดงกระสุนและระเบิดจากทหารราบเยอรมัน 200
กว่าคนที่ถูกยิงขึ้นมา และในระหว่างที่เค้ากำลังหลบอยู่นั้นเอง
ก็มีเครื่องบินเยอรมัน 8 ลำ
บินโฉบลงมาจากด้านบนพร้อมกับสาดกระสุนแบบไม่ยั้ง แต่เรื่องแค่นี้
ไม่ได้ทำให้ร้อยโทแฟรงค์หวาดกลัวแต่อย่างใด
เค้ายังคงดำเนินภารกิจทำลายฐานทัพอากาศศัตรูจนถึงที่สุดท้าย
เครื่องบินของร้อยโทแฟรงค์ฝ่ากองทัพเยอรมัน
จนเป็นรอยกระสุนหลายแห่ง ในเมื่อช้า เครื่องบินก็เริ่มหมดสภาพ
ร้อยโทแฟรงค์พยายามควบคุมเครื่องและสอยทหารเยอรมันที่พื้นไปอีก 6 คน
ก่อนจะกระแทกลงสู่พื้น
เค้าอยู่ในสภาพที่ร่อแร่เต็มทีท่ามกลางวงล้อมกองทัพศัตรูที่ติดอาวุธหนัก
แต่ถึงอย่างนั้น เค้าก็ไม่เอ่ยขอความช่วยเหลือจากศูนย์บัญชาการแต่อย่างใด
กลับชักปืนพกออกมาสู้ต่อจนตาย ต่อมา
ร้อยโทแฟรงค์ก็ได้กลายเป็นทหารอากาศคนแรกที่ได้รับเหรียญกล้าหาญ Medal of
Honor ซึ่งเป็นเหรียญกล้าหาญสูงสุดในกองทัพอเมริกา
อันดับที่ 1: โทมัส อเล็กซานเดอร์ เบเกอร์ สิบโทผู้กล้าบนเกาะไซปัน(Thomas Alexander Baker)
สิบโทเบเกอร์
เป็นหนึ่งในกองกำลังผสมระหว่างทัพบกกับทัพเรือ
ซึ่งมีภารกิจคือการยึดเกาะไซปันจากจักรวรรดิญี่ปุ่น
โดยในช่วงก่อนวัดสุดท้ายของสิบโทเบเกอร์
เค้าได้สร้างวีรกรรมความกล้าหาญเอาไว้
เมื่อหน่วยของเค้าถูกยิงกดดันจากบังเกอร์ของทหารญี่ปุ่นทำให้ไม่สามารถหลบ
หนีหรือขยับไปไหนได้ สิบโทเบเกอร์ตัดสินใจหยิบเครื่องยิงจรวด
ก่อนจะวิ่งไปหยุดห่างอยู่หน้าบังเกอร์ประมาณเกือบ 100 เมตร
และแจกจรวดใส่บังเกอร์จนกลายซาก ทำให้หน่วยของเค้ารอดมาได้
แต่แล้ววันสุดท้ายของสิบโทเบเกอร์ก็มาถึง
เมื่อทหารญี่ปุ่น 5000
กว่าคนติดดาบปลายปืนวิ่งกรูเข้ามาหมายปลิดชีวิตทหารอเมริกัน
แต่เบอเกอร์ยังคงสงบนิ่ง พร้อมกับเปลี่ยนแม็กกาซีนปืนอย่างใจเย็น
ก่อนจะเริ่มยิงใส่ทหารญี่ปุ่นที่วิ่งพลีชีพเข้ามา เวลาผ่านไปซักพัก
ทหารญี่ปุุ่นชุดแรกผ่านไป สิบโทเบเกอร์ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากกระสุนปืน
แต่เค้าไม่ได้คิดจะถอยหรือหนีแต่อย่างใด กลับคว้าอาวุธรอบตัวที่คว้าได้
ระดมยิงใส่อย่างบ้าคลั่ง ในเมื่อกระสุนหมด
สิบโทเบเกอร์ก็วิ่งเข้าไปต่อสู้ด้วยมือเปล่า
อาวุธรอบๆตัวสิบโทเบเกอร์พังจนใช้งานไม่ได้
เลือดค่อยไหลๆออกมาจากบาดแผลมากมายบนตัว
เค้าไำด้รับคำสั่งให้ถอยกลับไปรวบกับกลุ่มที่เหลือทันที
แต่สิบโทเบเกอร์คิดเอาไว้แล้วว่า
หากต้องพาเค้าที่อยู่ในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตาย
จะทำให้หน่วยของเค้าต้องเดินทางช้าลง เค้าจึงตัดสินใจ
ร้องขอให้เพื่อนพาเค้าไปพิงกับต้นไม้ โดยหันหน้าไปยังฝั่งกองทหารญี่ปุ่น
ก่อนจะขอยืมปืน colt 1911 พร้อมกระสุนเต็มแม็ก 8 นัด
เพื่อซื้อเวลาให้ทหารที่เหลือถอยหนีไป
ปืน colt 1911
และเมื่อทหารอเมริกากลุ่มสุดท้ายรุกตีกลับมา
ยังที่ๆสิบโทเบเกอร์อยู่เป็นครั้งสุดท้าย
เค้าก็พบกับศพสิบโทเบเกอร์พร้อมกับปืนพกที่ไม่มีกระสุนเหลือ
และถัดไปด้านหน้าสิบโทเบเกอร์ ก็มีศพทหารญี่ปุ่นอีก 8 คน
ที่สิบโทเบเกอร์ยิงก่อนที่ตัวเองจะตาย
ต่อมาเค้าก็ได้รับการสดุดีพร้อมกับเหรียญกล้าหาญสูงสุด Medal of Honor
credit : resonancez