ด้วย
กาลเวลาที่แปรเปลี่ยน อีกทั้งมีความเจริญก้าวเข้ามาแทนที่ ทำให้สิ่งต่างๆ
ไม่ว่าจะสังคมความเป็นอยู่
รวมไปถึงสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติต้องถูกเปลี่ยนเพื่อพัฒนาขึ้นให้สอดคล้องตาม
ยุคตามสมัย
เช่นเดียวกับสถานที่ที่เราจะพาคุณลัดเลาะขอบฟ้าข้ามทวีปไปเที่ยวกันในวันนี้
ล้วนแต่เป็นสถานที่ที่ถูกสรรค์สร้างขึ้นโดยธรรมชาติและกำลังมีวี่แววว่า
กำลังจะเปลี่ยนไปทั้งสิ้น
ทั้งนี้อาจด้วยฝีมือของมนุษย์หรือปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่ไม่มีใครสามารถ
คาดเดาได้แน่ชัด
เอาเป็นว่าใครที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวแบบธรรมชาติและมีโอกาสออกไปสัมผัสสิ่ง
ที่เรากำลังพูดถึงแล้วล่ะก็ รีบออกไปสัมผัสกันเลย แต่ถ้าใครยังไม่มีโอกาส
ตามเรามาท่องเที่ยวพร้อมกันง่ายๆ เพียงเลื่อนสายตาลงมายังบรรทัดล่าง
พร้อมแล้วออกเดินทางกันเลยก่อนที่สถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้จะอันตรธานหายไป
เสียก่อน
The Maldives |
เชื่อว่าหลายคนมีความฝันว่าอยาก
ออกไปโอบกอดสายลม แสงแดด และธรรมชาติของสถานที่แห่งนี้ หมู่เกาะมัลดีฟส์
(Maldives) ประเทศที่เป็นหมู่เกาะตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย
เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่เล็กที่สุดในทวีปเอเชียเลยก็ว่าได้อีกทั้งยังเป็น
ประเทศที่ต่ำมากเพราะมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 5 ฟุตเท่านั้นเอง
แต่ความสวยของที่นี่ขึ้นชื่อลือชามาก
ทำให้นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวอยากไปสัมผัสบรรยากาศที่แห่งนี้
เสียเหลือเกิน ความสวยงามของหมู่เกาะปะการังที่แผ่กระจายถึง
56,000ตารางไมล์เรียกว่าเป็นสวรรค์ของคนที่ชื่นชอบการดำน้ำอย่างมาก
สถานที่แห่งนี้นับว่าเป็นสถานที่ที่น่าไปอีกแห่งหนึ่ง เพราะอะไรน่ะเหรอ
หากสภาพภูมิอากาศแปรเปลี่ยนและระดับน้ำทะเลเพิ่มมากขึ้นทุกวันๆ ไม่แน่อีก
100 ปีมัลดีฟส์อาจจะจมหายไปอยู่ใต้น้ำก็เป็นได้
The Dead Sea |
เดดซีหรือที่หลายคนเรียกกันว่า
ทะเลมรณะเป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่อยู่ระหว่างประเทศอิสราเอลและจอร์แดน
ซึ่งทะเลสาบแห่งนี้อยู่ต่ำกว่าระดับของน้ำทะเลมากที่สุดหากปรียบเทียบกับ
บรรดาทะเลอื่นๆ ทั่วไป
อีกทั้งยังมีความเค็มของเกลือค่อนข้างสูงกว่าทะเลที่อื่นตั้งหลายเท่า
ทำให้น้ำทะเลที่นี่มีความเค็มสูงปรี๊ดจึงทำให้ไม่มีสัตว์ชนิดไหนสามารถอาศัย
อยู่ได้ เหล่านี้จึงกลายเป็นชื่อที่เรียกขานกันติดปากว่าทะเลมรณะนั่นเอง
แต่จะว่าไปความเค็มก็มีประโยชน์เช่นกัน
เพราะว่ากันว่าทะเลแห่งนี้ทำยังไงก็ไม่มีวันจมแม้คุณจะอ้วนท้วนสมบูรณ์เพียง
ไหน เพราะอะไรน่ะเหรอครับ ก็เพราะเกลือที่กระจายตัวอยู่หนาแน่นสูงนั่นเอง
สถานที่แห่งนี้เป็นอีกหนึ่งที่ที่เราควรไปก่อนที่จะสูญสลายหายไป
เพราะนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ไว้ว่าทะเลมรณะแห่งนี้จะหายวับและ
ลับไปในอีก 50 ปีข้างหน้าน่ะสิครับ
Glacier National Park |
อุทยานแห่งชาติของประเทศสหรัฐ
อเมริกาตั้งอยู่ติดกับชายแดนของประเทศแคนาดา
สถานที่ที่ใครหลายคนอาจจะยังไม่รู้จักกันสักเท่าไหร่
เพราะเนื่องด้วยการเดินทางที่สุดแสนจะลำบากยากต่อการไปเยือนนั่นเอง
แต่ที่แห่งนี้จะว่าไปแล้วก็ยังมีความงดงามของธรรมชาติที่รอให้ไปชื่นชมอีก
มากมาย หากอยากรู้ความงดงามของสถานที่แห่งนี้ว่ามีมากน้อยเพียงไร
ถ้ามีโอกาสก็อย่าลืมออกไปสัมผัสบรรยากาศกันนะครับ
เพราะระบบนิเวศที่แปรเปลี่ยนไปในแต่ละวันอาจทำธารน้ำแข็งหมดและหายไปได้ใน
อนาคต
เพราะสถานที่แห่งนี้เมื่อก่อนเคยมีธารน้ำแข็งมากมายถึงหลายร้อยแห่งแต่ใน
ปัจจุบันธารน้ำแข็งกลับมีจำนวนลดลงไปอย่างมาก
The Athabasca Glacier, Canada |
ธารน้ำแข็งที่ถือได้ว่ามีผู้เข้า
ชมมากที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ ปัจจุบันมีความยาวเพียงแค่ 5 กิโลเมตรกว่าๆ
เท่านั้น สถานที่แห่งนี้เป็นที่ที่คุณควรไปเยือนก่อนจะสลายหายไปอีกที่หนึ่ง
เพราะเนื่องจากภาวะโลกร้อนในปัจจุบันทำให้ธารน้ำแข็งดังกล่าวเริ่มละลาย
โดยเฉลี่ยละลายลงปีละ 6.6-9.8 ฟุตเลยทีเดียว
The Galápagos Islands |
หมู่เกาะที่ตั้งอยู่กลางมหาสมุทร
แปซิฟิก ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งด้านตะวันตกของประเทศเอกวาดอร์
มีเกาะเกิดขึ้นมากมายประมาณ 40 เกาะ
หมู่เกาะแห่งนี้เริ่มต้นมาจากการสำรวจและศึกษาของชาล์ ดาร์วิน
ซึ่งสถานที่แห่งนี้นับว่าเป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องนิเวศวิทยาที่น่าสนใจ
โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตอย่างเต่าบกยักษ์ อีกัวน่า ปลาวาฬ แมวน้ำขนเฟอร์
นกฟินส์ดาร์วิน นกฟลามิงโก นกเพนกวิน สิงโตทะเล และสัตว์ชนิดอื่นๆ
อีกมากมาย
แต่ปัจจุบันเริ่มลดจำนวนลงมากแล้วเนื่องด้วยการบุกรุกของมนุษย์นั่นเอง
The Karnali River, Nepal |
แม่น้ำที่สำคัญของประเทศเนปาล
ได้ชื่อว่าเป็นแม่น้ำสายที่ยาวที่สุดเลยก็ว่าได้
มีต้นน้ำอยู่บนที่ราบสูงทิเบต
ไหลไปทางใต้ผ่านเทือกเขาหิมาลัยกระทั่งลงสู่แม่น้ำคงคาและด้วยความอุดม
สมบูรณ์ทำให้ในอนาคตแม่น้ำแห่งนี้อาจถูกนำไปใช้สร้างเขื่อนเพื่อผลิตกระแส
ไฟฟ้านั่นเอง
The Ecuadorean Amazon |
สถานที่แห่งนี้ถูกขึ้นทะเบียนเป็น
เขตสงวนชีวมณฑลโลก ขององค์การยูเนสโก เมื่อปีพ.ศ. 2532
ป่าดิบชื้นที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลกหรือที่หลายคนรู้จักกันดีในชื่อว่า
ป่าอะเมซอน ป่าอะเมซอนครอบคลุมพื้นที่โดยรวมประมาณ 7ล้านตารางกิโลเมตร
อันได้แก่ ประเทศ โบลิเวีย บราซิล โคลัมเบีย เอกวาดอร์ กาย่านา เปรู
ซูรินัม และ เวเนซูเอล่า และอยู่ในดินแดนของบราซิลมากที่่สุดประมาณ 40%
ที่แห่งนี้มีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมาก เพราะมีสัตว์แปลกๆ
หลากหลายชนิดอาศัยอยู่ อาทิ ปลาปิรันย่า,งูยักษ์อนาคอนดา,นกหลากหลายชนิด
และอื่นๆอีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีต้นไม้อีกกว่า 40,000 ชนิด อีกด้วย
แต่สถานที่ดังกล่าวกำลังจะเปลี่ยนไปเมื่อรัฐบาลเอกวาดอร์ลงมติอนุมัติให้ขุด
เจาะน้ำมันยังผืนป่าแห่งนี้นี่เอง
สิ่งเหล่านี้อาจเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชนเผ่าพื้นเมืองตามมาก็ย่อมได้
The Mongolian Steppe |
ทุ่งหญ้าสเตปป์ในประเทศมองโกเลีย
เป็นทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและทะเลทรายที่แห่งนี้จะไม่มี
ต้นไม้ นับว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีความสวยงามซ่อนอยู่
มีลักษณะภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เพราะเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนก็จะร้อนมากแบบชนิดที่ว่าตัวไหม้เลยก็ว่าได้
พอเข้าสู่ฤดูหนาวก็หนาวมากเพราะจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน แม่น้ำ
ลำคลองแข็งเป็นน้ำแข็งสร้างความเดือดร้อนให้แก่มนุษย์และสัตว์ที่นี่อย่าง
มาก
แต่หากกลับเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วล่ะก็สถานที่แห่งนี้ก็จะกลับมาสู่ความสวย
งามอีกครั้งดั่งพระเจ้าสรรค์สร้างอย่างไรก็อย่างนั้น
อีกทั้งที่แห่งนี้มีประชากรอาศัยอยู่จำนวนน้อยมากที่สุดในโลกส่วนใหญ่จะเป็น
ชนเผ่าที่มีชีวิตแบบเร่ร่อน
ในปัจจุบันนั้นได้เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจที่มากขึ้น
การเติบโตที่รวดเร็วมากอาจส่งผลตามมาได้นั่นเอง
|
ข้อมูล :http://www.mensjournal.com/
*** ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต |