วันนี้(18 พ.ย.)ที่เฟซบุ๊ค
Vikrom Kromadit ซึ่งเป็นหน้าเพจของ วิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าของบริษัท อมตะ
คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เผยเรื่องราวบทเรียนยิ่งใหญ่ของชีวิตว่า
ผมได้พบกับพ่อครั้งสุดท้ายในวันแต่งงานของวิวัฒน์ (น้องชาย) เมื่อ 12
ปีที่แล้ว ต่อมาสมศรี (น้องสาว)
ก็มาบอกว่าพ่ออยากจะพบเพื่อพูดคุยเรื่องขายที่ดินที่เมืองกาญจน์
แต่ผมก็ปฏิเสธที่จะพบพ่อหลายครั้งในการประชุมของครอบครัว น้องๆ
มักจะเปรยว่าอยากให้ผมพบกับพ่อ
แต่ข่าวคราวเรื่องอารมณ์ของพ่อที่ยังคงร้อนแรงเช่นก่อนทำให้ผมบ่ายเบี่ยงที่
จะไปพบ สาเหตุเพราะผมไม่อยากจะมีความทุกข์เหมือนในอดีตอีก ผมเคยบอกผ่าน
คุณวสันต์ โพธิพิมพานนท์ แห่งเบนซ์ทองหล่อว่า
หากพ่อไม่เอาเรื่องเงินมาเป็นเหตุของการพบปะ ไม่มีการใช้อารมณ์
และเราสามารถพูดคุยกันได้แบบพ่อลูกจริงๆ ผมก็ยินดีที่จะไปกราบเท้าพ่อทันที
พวกเราเชื่ออยู่เสมอว่าพ่อมีสุขภาพแข็งแรงกว่าคนทั่วไป
จากการบอกเล่าของน้องๆ
และพ่อก็แสดงออกถึงความเป็นคนไม่แก่ด้วยการมีภรรยาใหม่อยู่เรื่อยๆ
ถึงแม้จะมีอายุกว่า 80 ปี แล้วก็ตาม
พ่อมักจะพูดอวดถึงสรรพคุณของยาจีนที่สามารถหามาได้จากทุกหนแห่งไม่ว่าจะอยู่
ส่วนไหนของประเทศไทยในใจลึกๆ
ผมเชื่อว่าวันที่ผมจะได้พบและพอจะพูดคุยกับพ่อได้นั้น
คงเป็นวันที่พ่อหมดกำลังวังชาและไม่อารมณ์ร้อนอีกแล้ว
ซึ่งคิดว่าคงอีกหลายปี ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
ผมมักจะติดตามเรื่องของพ่อจากน้องๆ มากกว่าแต่ก่อน
โดยเฉพาะในการประชุมของครอบครัวเมื่อวันเสาร์ที่ 9 พย. 2556 ที่ผ่านมา
ผมก็เพิ่งรู้ว่าพ่อเข้าโรงพยาบาล แต่เมื่อได้รับฟังจากน้องๆ ทุกคนแล้ว
ก็ต่างลงความเห็นว่าพ่อน่าจะมีอายุได้มากกว่า 90 ปี
ในขณะเดียวกันนั้นใจผมกลับรู้สึกแปลกๆ จึงกำชับน้องๆ
ให้ช่วยกันดูแลพ่ออย่างใกล้ชิดกว่าเดิมวันที่ 13 พย. 2556 ช่วงเช้า
ก่อนผมจะไปขึ้นเวทีพูดที่โรงเรียนศรีวิกรม์
น้องก็แจ้งผมว่าพ่อเสียชีวิตแล้ว
ผมตกใจมากเพราะเพิ่งผ่านไปเพียง 4
วันที่พวกเราพูดคุยกันเกี่ยวกับสุขภาพของพ่อแล้วพ่อจะเสียชีวิตได้อย่างไร
หลังจากพูดเสร็จผมรีบเดินทางไปที่โรงพยาบาลศิริราช เห็นน้องๆ
และหลานเกือบทุกคนยืนอยู่ใกล้ร่างที่ไร้วิญญาณของพ่อ
ผมได้เห็นหน้าพ่ออีกครั้งหลังจากเวลาผ่านไป12 ปี
และคงเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้พบพ่อ
ผมรู้สึกผิดอย่างมากที่ถือทิฐิไม่ยอมไปพบพ่อในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
จนถึงตอนนี้ไม่เหลือเวลาอีกแล้วที่ผมจะไดพบพ่ออีกผมเฝ้ามองหน้าพ่อ
ซึ่งนอนอยบู่นเตียง มีสายยางสอดเข้าทางปาก ผมจับมือและใบหน้าของพ่อ
พลันให้นึกถึงตอนผมเป็นเด็ก ผมนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เกาะหลังพ่อไว้แน่น
นับเป็นช่วงที่ผมใกล้ชิดกับพ่อมากที่สุดในชีวิต
ผมรู้สึกว่ามือและแขนของพ่อเริ่มแข็ง พ่อของผมได้จากพวกเราไปแล้วจริงๆ
ผมเสียใจมากที่ทุกอย่างต้องมาจบแบบนี้ ผมยืนคิดและเฝ้ามองหน้าของพ่อ
รู้สึกเสียดายโอกาสที่หมดลงแล้ว
นับเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งสำคัญของชีวิตสำหรับพวกเรา
ช่วงหลายปีที่ผ่านมาผมไม่ได้เข้มแข็งเช่นในอดีต ผมรู้สึกว่าตนองบอบบางมาก
จนไม่อยากให้ใครเห็นถึงความอ่อนแอของผมทุกครั้งหากพูดถึงพ่อและแม่ผมจะน้ำตา
ไหลเสมอ
นั่นคือสาเหตุสำคัญที่ผมไม่อยากไปพบพ่อเพราะในใจรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ผมมักจะใช้การหลีกหนีความทุกข์ไปสู่ความสบายใจ
คงเป็นเพราะอดีตที่ขมขื่นจึงทำให้ผมไม่อยากหวนกลับไปพบสิ่งเหล่านั้นอีก
ผมยืนอยู่ข้างศพพ่อ และบอกกับทุกคนในครอบครัวว่า ทุกอย่างผ่านไปแล้ว
ขอโทษจริงๆ ที่ผมไม่ได้มาพบพ่อ ขอให้อโหสิกรรมให้กับอดีตทุกอย่าง
วันนี้เราเหลือกันแต่พี่น้องของเราเท่านั้น ขอให้ทุกคนรักกันตลอดไป
พวกเราจะต้องรักกันเพื่อให้พ่อกับแม่ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็จะมีความสุขและ
ภูมิใจในครอบครัวของเรา
ผมจับมือพ่อที่แข็งแล้วและมีโอกาสได้กอด
พ่อเป็นครั้งแรกหลังจากเวลาผ่านไปกว่า 55 ปี
และนับเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับชีวิตผม เราต้องจากกันตลอดไปแล้วผมเสียใจจริงๆ
กับความผิดพลาดในโอกาสสุดท้ายของชีวิตระหว่างผมกับพ่อผมอยากให้ทุกคนที่ยัง
มีพ่อและแม่นั้น เข้าใจถึงโอกาสของชีวิตที่เมื่อหมดไปแล้ว
ไม่ว่าเราจะเสียใจหรืออยากจะทำอะไรอีกก็ไม่สามารถเรียกคืนมาได้อีกแล้ว
ขอให้ทุกคนอย่าได้ทำผิดพลาดเช่นผมอีกเลย
ขอให้ทุกคนในโลกนี้ที่ยังมีโอกาสดีกว่าผม
อย่าได้ปล่อยให้โอกาสที่ยังมีอยู่นั้นผ่านไป
ขอให้ระลึกเสมอว่าทุกชีวิตล้วนมาจากศูนย์และกำลังเดินทางไปสู่ศูนย์…
วิกรม กรมดิษฐ์
13 พฤศจิกายน 2556
MThai News