ทีมงาน toptenthailand ขอเสนอ "10 อันดับ สิ่งประดิษฐ์ลึกลับที่หายสาบสูญ"
ที่มา : http://www.toptenthailand.com/topten/detail/20131126140405146
10. Stradivarius Violins
เริ่มต้นที่ “ไวโอลีนสตาดิวาเรียส” " "0
เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่หายไปในช่วงปี 1700 และเป็นอันดับ 10 ของทีมงาน
toptenthailand โดยชื่อไวโอลีนนี้มาจากผู้สร้าง คือ อันโตนิโอ สตาดิวารี
ช่างไวโอลีนในเมืองเครโมน่า ประเทศอิตาลี
โดยเขามีชื่อเสียงจากดนตรีเครื่องสายชนิดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น วีโอล่า,
เชลโล่ และกีตาร์ ด้วยความสวยงาม
เสียงและคุณภาพทำให้เครื่องดนตรีของเขาทุกชิ้นล้วนมีคุณค่าระดับโลกชนิดไร้
คู่แข่ง ซึ่งทุกวันนี้มีเครื่องดนตรีของเขาหลงเหลือเพียง 600 ชนิดเท่านั้น
และส่วนใหญ่ล้วนมีมูลค่าหลายแสนดอลลาร์
แต่น่าเสียดายที่เทคนิคกระบวนการผลิตไวโอลีนสตาดิวาเรียสนั้นได้หายสาบสูญไป
เนื่องจากเทคนิคนี้มีเพียงแต่ครอบครัวของเขาเท่านั้นที่รู้ความลับอันนี้
โดยมีพระสังฆราช,ลูกหลานของเขา คือ ฟรานซิสโก้ (1671-1743) , อโมโบโน
(1679-1742) และตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้
ดังนั้นเมื่อพวกเขาตายกระบวนการผลิตนี้ก็ยุติไปด้วย
แต่กระนั้นปัจจุบันก็ยังมีหลายฝ่ายที่พยายามจะไขความลับไวโอลีนสตาดิวาเรียส
ว่าเหตุใดมันถึงได้กลายเป็นเครื่องดนตรีที่ยังคงมีคุณภาพอยู่จนถึงปัจจุบัน
นักวิทยาศาสตร์วิจัยพบว่าไม้เมเปิ้ลที่ใช้สร้างเครื่องดนตรีนี้มีการปรับ
สภาพโดยเชื้อราทำให้เนื้อไม้มีเอกลักษณ์และทำให้เกิดเสียงสะท้อน
หากแต่กระนั้นในความเป็นจริงแล้วคนส่วนใหญ่ไม่เห็นความแตกต่างกันของคุณภาพ
เสียงของไวโอลีนสตาดิวาเรียสและไวโอลีนธรรมดาสักเท่าไหร่
9. Nepenthe
อันดับที่ 9 ของทีมงาน toptenthailand :
สิ่งที่เราได้รู้สึกทึ่งทุกครั้งที่พูดถึงความซับซ้อมภูมิปัญญาของชาวกรี
กโบราณและโรมันก็คือ Nepenthe
คือยาตามตำนานวรรณคดีมหากาพย์โอดิสซีของโฮเมอร์ และในตำนานเทพเจ้ากรีก
เล่าว่าชาวกรีกสามารถทำยาเสพติดได้โดยใช้ส่วนผสมอย่างหนึ่งทำให้เป็นยาที่
สามารถไล่ความเศร้าโศกหรือหลายคนเรียกว่า "ยาแห่งการความหลงลืม
และชื่อตัวยาดังกล่าวได้ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อของหม้อข้าวหม้อแดงลิง(ตามภาษา
กรีกที่ Nepenthes แปลว่า เหยือกเหล้าที่ใช้เพื่อลืมความเศร้าเสียใจ)
นอกจากนี้มันยังมีฤทธิ์พอๆ กับฝิ่นและมีมากกว่าด้วยซ้ำ
โดยกล่าวแต่อย่างไรก็ตามจนถึงปัจจุบันไม่รู้ว่ายาเสพย์ติดที่ว่ามีอยู่จริง
หรือไม่ และส่วนผสมของมันยังคงลึกลับ
รู้แต่ว่าตัวยาดังกล่าวถูกใช้แพร่หลายในกรีกโบราณ โดยผ่านทางอียิปต์
สันนิษฐานว่าน่าจะมีส่วนผสมของไม้วอร์ทวูดซึ่งเป็นยารักษาทุกโรคในเวลาสั้น
และจากการดูตามอาการที่ปรากฏในวรรณคดีหลังทานยานี้เข้าไป
น่าจะเป็นพวกพืชจำพวกมะเขือพวงซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ความทรงจำเสื่อมและอดีตนั้น
มีฤทธิ์ร้ายแรงกว่าฝิ่นถูกนำมาใช้แพร่หลายทางการแพทย์และทันตกรรม
8. The Antikythera Mechanism
หนึ่งในที่สุดของความลึกลับของสิ่งประดิษฐ์
ทางโบราณทั้งหมดที่เป็นรู้จักกันดี อันดับที่ 8 ของทีมงาน toptenthailand :
1“เครื่องจักรแอนติไกเธอร่า"
วัตถุประหลาดเครื่องทองเหลืองที่ค้นพบโดยนักดำน้ำนอกชายฝั่งของประเทศกรีกใน
เกาะแอนติไกเธอร่า ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1900
กลไกของมันซับซ้อนจนไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของคนโบราณ
ประกอบไปด้วยชุดฟันเฟืองมากกว่า 30 ชิ้น มีข้อหมุนเหวี่ยง
และการหมุนที่สามารถคำนวณหาตำแหน่งทางดาราศาสตร์ของดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์และดาวเคราะห์ต่างๆ ได้
โดยอุปกรณ์ดังกล่าวพบอยู่ในซากเรือแตกโดยวิทยาศาสตร์คำนวณแล้วพบว่า
อุปกรณ์ชิ้นนี้มีอายุถึง 1 หรือ 2 พันปีก่อนคริสตกาล
จุดประสงค์ที่แท้จริงของมันยังคงเป็นความลับและเบื้องหลังเทคนิคการสร้างและ
การใช้งาน
และที่น่าสนใจคือเครื่องจักรนี้ไม่ปรากฏในบันทึกทางประวัติศาสตร์จนถึง
ศตวรรษที่ 14 แสดงให้ว่าเทคโนโลยีนี้หายสาปสูญไปถึง 1,400 ปี
ทำให้ปริศนาดังกล่าวได้สร้างความงงงวยแก่นักวิทยาศาสตร์มานานหลายศตวรรษ
แต่กระนั้นข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้ที่สุดก็คือเครื่องจักรแอนติไกเธอร่า
น่าจะเป็นกลไกของนาฬิกาโบราณที่สามารถคำนวนระยะทางจันทรคติและปีแสงอาทิตย์
ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือ “คอมพิวเตอร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก”
7. The Telharmonium
มาที่อันดับที่ 7 ของทีมงาน toptenthailand
: เป็นเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องแรกของโลก
โดยเป็นเครื่องดนตรีที่มีขนาดใหญ่ สร้างขึ้นโดย Thaddeus Cahill ในปี ค.ศ.
1897
ซึ่งในช่วงเวลานั้นเครื่องดนตรีเครื่องนี้ถือว่าใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้าง
มา โดยใช้สัญญาไฟฟ้าส่งมายังสายแล้วสังเคราะห์เสียงจนเป็นเสียงดนตรีผ่านยัง
ลำโพง มันถูกสร้างมาสามรุ่น หนึ่งในนั้นมีน้ำหนักกว่า 200
ตันและใช้พื้นที่มากประมาณหนึ่งห้องถึงจะเก็บมันอยู่
โดยส่วนประกอบคือแป้มพิมพ์และแป้นเหยียบซึ่งผู้ใช้สามารถกดเพื่อให้เกิด
เสียง
เครื่องดนตรีนี้ถูกนำแสดงในที่สาธารณะครั้งแรกแล้วพบว่ามีหลายคนชอบมันเพราะ
ได้ยินชัดเจนและแปลกใหม่ในเวลานั้นเพราะเครื่องดนตรีสามารถทำเสียงได้
หลายอย่าง ใช่เครื่องดนตรีประเภทเป่าอย่าง ขลุ่ย บาสซูน คลาริเน็ต
และยังมีเชลโล่
หากแต่เครื่องดนตรีนี้ก็ไม่ได้ถูกพัฒนาหรือสารต่อจนถึงการแก่อนิจกรรมในที่
สุด สาเหตุเนื่องจากใช้พลังงานไฟฟ้ามากและน้ำหนักมหาศาล
อีกทั้งมันยังรบกวนสัญญาโทรศัพท์ ทำให้เครื่องดังกล่าวยุติลงในปี 1914
และผู้สร้างก็ตาย(ในปี 1934)
เครื่องดนตรีที่เหลือถูกเก็บนานกว่าหลายทศวรรษและปัจจุบันมันยังคงอยู่เพียง
แต่ไม่สามารถนำมาเล่นได้เหมือนก่อน
6. The Library of Alexandria
อันดับที่ 6 ของทีมงาน toptenthailand :
หอสมุดอเล็กซานเดรีย
เป็นหอสมุดที่ขนานนามว่าเป็นหอสมุดที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของโลกโบราณ
สร้างเมื่อ 300 ปีก่อนคริสตกาล ในเมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์
ที่มีความเจริญรุ่งเรืองภายใต้การอุปถัมภ์ของราชวงค์พโทเลมี
และอนุญาตให้เฉพาะพระเจ้าแผ่นดิน เจ้านาย ขุนนาง
และชนชั้นที่ร่ำรวยมาใช้บริการเท่านั้น
โดยหอสมุดดังกล่าวมีขนาดใหญ่มาก(จนไม่สามารถคาดคะเนได้)
และยังเป็นสถานที่รวบรวมศูนย์กลางสำคัญของการศึกษาในยุคนั้น
เพราะภายในได้รวบรวมความรู้จากภายนอกจากที่ต่างๆ ทั่วทั้งกรีซ อียิปต์
เอเชียไมเนอร์ และยุโรปมาไว้ในที่เดียวกัน
ในตำนานกล่าวว่านักท่องเที่ยวที่จะเข้าอเล็กซานเดรียทุกคนจะถูกริบหนังสือ
โดยหนังสือนั้นจะถูกนำไปคัดลอกด้วยมือ และต้นฉบับจะถูกเก็บไว้ที่หอสมุด
หอสมุดอเล็กซานเดรียและหนังสือจำนวนมากถูกเผาทำลายหลายครั้งตั้งแต่ 47
ปีก่อนคริสตกาล โดยจากเอกสารประวัติศาสตร์ระบุว่า
หอสมุดดั่งกล่าวถูกทำลายโดย จูเลียส ซีซาร์ จักรพรรดิโรมัน
โดยได้เผาทำลายบางส่วนของหอสมุดเพื่อปิดกั้นเส้นทางของกองทัพเรือศัตรูเมื่อ
ครั้งเข้ายึดเมืองในยุคของพระนางคลีโอพัตรา ในขณะที่ทฤษฏีอื่นๆ ก็ระบุว่า
หอสมุดและหนังสือเกือบทั้งหมดถูกทำลายโดยจักรพรรดิธีออโดเชียส
ผู้ปกครองชาวคริสต์ที่สั่งให้ทำลายเอกสารทุกอย่างที่ถือว่าเป็นของพวกนอกรีต
หรือไม่ก็มาร์ก แอนโทนี่ได้ขนหนังสือทั้งหมดในหอสมุดแห่งนี้ไปอียิปต์
ด้วยเหตุการณ์ทั้งหมดดังกล่าวได้ส่งผลทำให้ความรู้อดีตกาลที่มีค่ามากมายหาย
สาบสูญพร้อมกับหอสมุดไปด้วย
5. Damascus Steel
เหล็กดามัสคัส คืออันดับที่ 5 ของทีมงาน
toptenthailand :
เหล็กดามัสคัสเป็นวัตถุที่แข็งแรงจนเป็นไปไม่ได้ว่ามันจะทำขึ้นจากโลหะที่
ถูกใช้กันอย่าง แพร่หลายในสมัยกลาง ทางตะวันออกกลาง ประมาณ 1100-1700
ปีก่อนคริสตกาล โดยเหล็กเหล่านี้มีลักษณะเด่นคือมันมีความคม ความเหนียว
ทนทาน แต่ใบมีดกลับคมและยืดหยุ่น
นอกจากนี้ตัวมีดยังมีลวดลายพิศวงมีทั้งลายน้ำไหลหรือลายตัวอักษร
นอกจากนี้มันยังเป็นเหล็กที่มีส่วนผสมของคาร์บอนสูงเป็นพิเศษ
ซึ่งโดยปกติแล้วเหล็กที่มีคาร์บอนสูงจะเปราะง่าย
แต่เหล็กดามัสคัสกลับยืดหยุ่น
ทำให้กระบวนการผลิตนั้นยากที่จะรู้ว่ามันได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ
คือวัตถุดิบที่ใช้ทำเหล็กนั่นเอามาจากอินเดียและศรีลังกาในชื่อ “Wootz
Steel” รวมไปถึงแม่พิมพ์และส่วนผสมต่างๆ
เพื่อสร้างใบมีดมีลวดลายสวยงามมีเอกลักษณ์
แต่กระนั้นกระบวนการผลิตเหล็กดามัสกัสนั้นก็ได้หายไปประมาณ 750
ปีก่อนคริสตกาลอย่างลึกลับ แต่มีหลายทฤษฏี
และที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ
เส้นทางการค้าถูกตัดขาดทำให้แร่พิเศษที่ใช้ผลิตเหล็กดังกล่าวนั้นมีน้อย
อีกทั้งการพัฒนาเทคนิคใหม่ๆ ในการทำเหล็กนั้นค่อนข้างยากทำให้ช่วงหลังๆ
ลวดลายใบมีดเริ่มลดลง
ปัจจุบันมีหลายเจ้าที่อ้างว่ามีดของตนคือเหล็กดามัสกัสซึ่งความจริงแล้วสิ่ง
เหล่านั้นเป็นเพียงการประมาณวิธีการทำเหล็กดามัสกัสส่วนหนึ่งเท่านั้น
ส่วนของแท้ของจริงนั้นยังไม่มีใครทำได้แต่อย่างใด
4. Apollo/Gemini Space Program Technology
ไม่เพียงแค่เทคโนโลยีจากสมัยโบราณเท่านี้
ที่หายไป เทคโนโลยีสมัยใหม่ก็เช่นกัน อย่างในอันดับที่ 4 ของทีม งาน
toptenthailand :
โครงการอพอลโล่และการส่งคนไปดวงจันทร์เองก็กำลังถูกยกเลิกเพราะการเข้ามาแทน
ที่ของหุ่นยนต์ โดยโครงการอพอลโล่เป็นโครงการต่อเนื่องเมอร์คิวรี่ และ
เจมิไน มีเป้าหมายสำคัญคือ จะนำมนุษย์ลงไปสำรวจดวงจันทร์
ใช้มนุษย์อวกาศขึ้นไปครั้งละ 3 คน ตัวยานอวกาศประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3
ส่วนคือ ยานบังคับการ ยานบริการ ยานลงดวงจันทร์ โดยโครงการอพอลโล่
เริ่มส่งมนุษย์ขึ้นโคจรในอพอลโล่ โดยขึ้นไปโคจรรอบโลก 163 รอบ ในปี 1968
โดยมนุษย์อวกาศชุดแรกลงไปเหยียบดวงจันทร์คือนักบินของยานอพอลโล่ 11 จำนวน 3
คน คือ นีล อาร์มสตรอง , เอ็ดวิน อี-แอลดริน และไมเคิล คอลลินส์
ซึ่งถือได้ว่าเป็นโครงการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนาซ่าทำให้มนุษย์เหยียบดวง
จันทร์ครั้งแรกของโลก แม้โครงการเหล่านี้จะทำให้โลกเปลี่ยนไป
แต่กระนั้นโครงการนั้นก็ถูกยกเลิกหลังจากส่งยานอพอลโล่ 17 เมื่อวันที่ 7
ธันวาคม 1972
ส่วนสาเหตุที่ถูกยกเลิกก็คือโครงการนี้ใช้เงินเกินงบประมาณและล่าช้า
ทำให้โครงการเจมิไนเข้ามาแทนที่
โดยวัตถุประสงค์โครงการคือการส่งมนุษย์ไปลงดวงจันทร์
พร้อมอุปกรณ์สนับสนุนการดำรงชีวิตขึ้นไปโคจรในอวกาศให้นานที่สุด
แต่โครงการเจมิไนก็กำลังถูกยกเลิกโดยเหตุผลเดียวกัน
และปัจจุบันพวกเขาได้เปลี่ยนเป็นใช้หุ่นยนตร์ขึ้นไปสำรวจแทน
3. Silphium
ต่อมาในอันดับที่ 3 ของทีมงาน
toptenthailand : นั้นคือ Silphium เป็นพืชในสกุลเฟอรูล่า ยี่หร่า
เป็นพืชที่เคยได้รับความนิยมในสมัยกรีก นำเข้าจากเมืองการค้าซาร์มอัลชีค
ประเทศลิเบีย โดยต้นดังกล่าวผลเป็นรูปหัวใจ โดยชาวโรมันนิยมใช้มันปรุงอาหาร
แก้อาการเจ็บคอ ไข้ อาหารไม่ย่อย ปวดท้อง
และนอกจากนี้มันยังมีฤทธิ์ในการคุมกำเนิดได้ด้วย
โดยผู้หญิงจะดื่มน้ำผลไม้ของพืชชนิดนี้ทุกครั้งเพียงไม่กี่สัปดาห์ก็สามารถ
ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ ซึ่งถือได้ว่าการใช้พืช Silphium
ถือว่าเป็นหนึ่งในวิธีที่เก่าแก่ที่สุดในการทำแท้ง
ก่อนที่มันจะสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ 200 ปีก่อนคริสตกาล
เนื่องจากมันเป็นที่นิยมมาก
แต่พืชชนิดนี้ขึ้นแต่เพียงเมดิเตอร์เรเนียนในแอฟริกาเท่านั้น
การขาดแคลนดังกล่าวทำให้มันสูญพันธุ์
ปัจจุบันเราจึงเห็นต้นดังกล่าวได้จากในเหรียญโบราณของชาวโรมันที่เคยแกะสลัก
บันทึกไว้เท่านั้น
2. Roman Cement
มาถึงอันดับที่ 2 ของทีมงาน toptenthailand
: สูตรปูนซีเมนต์สมัยใหม่ได้รับการพัฒนาในปี 1700
โดยส่วนผสมของมันอย่างง่ายคือน้ำ ทราย และหิน
ซึ่งส่วนผสมเหล่านี้นิยมแพร่หลายไปทั่วโลกในศตวรรษที่ 8
แต่ในความจริงแล้วสูตรปูนซีเมนต์นั้นแพร่หลายมาช้านานในสมัยโบราณโดย
เปอร์เซีย อัสซีเรีย อียิปต์และชาวโรมัน
ชาวโรมมีสูตรปูนซีเมนต์ที่คงทนโดยผสมกับปูนขาวกับหินบดและน้ำ
และด้วยสูตรนี้เองทำให้พวกเขาสามารถสร้างสิ่งก่อสร้างมากมายที่มีชื่อเสียง
และยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน อย่าง วิหารพาร์เธนอน โคลอสเซียม
ผันน้ำระบบท่อโรมัน โรมันบาส
ซึ่งเห็นได้ชัดว่าปูนซีเมนต์สมัยโบราณดีกว่าปูนสมัยปัจจุบันที่มันสามารถทน
ต่อสภาพอากาศเป็นพันๆ ปี
แต่แล้วสูตรปูนซีเมนต์ก็ได้หายสาบสูญในยุคมืดอย่างลึกลับ
ทฤษฏีที่นิยมมากที่สุดคือความลับทางการค้าระหว่างช่างก่อตึกหินด้วยกัน
และวิธีการทำซีเมนต์และคอนกรีตก็หายไปพร้อมกับคนที่รู้วิธีทำไปด้วย
แต่กระนั้นก็มีข้อสันนิษฐานว่าปูนซีเมนต์ของพวกเขาได้ใส่ส่วนผสมพิเศษลงไป
ด้วย
โดยสารนี้จะทำให้สร้างฟองอากาศคอนกรีตช่วยให้วัสดุในการขยายทำให้ทนความร้อน
และความเย็น ซึ่งสารเคมีนี้ยังคงความลับอยู่
1. Greek Fire
และนี่คือเทคโนโลยีที่หายสาบสูญที่มีชื่อ
เสียงมากที่สุด อันดับ ที่ 1 ของทีมงาน toptenthailand : "ไฟกรีก"
เป็นชื่อของอาวุธที่พัฒนาโดยกองทัพเรือไบแซนไทน์ ในสมัยยุคกลาง
ประมาณศตวรรษที่ 11 โดยปกติแล้วจะใช้มันต่อสู้กับกองทัพเรือ
โดยเปลี่ยนสูตรน้ำมันเผาไหม้และหลักกาลักน้ำมาใช้
พุ่งผ่านท่อทองเหลืองขนาดใหญ่ที่ติดตั้งบนเรือรบ ไปตกบนเรือของข้าศึก
โดยมีการเก็บของเหลวไว้ในถังร้อนอัดที่ถูกอัด
และพ้นผ่านท่อดังกล่าวโดยมีอุปกรณ์บางอย่างช่วยสูบ
ส่วนผู้ควบคุมเครื่องนั้นจะซ่อนหลังโล่โลหะขนาดใหญ่
โดยไฟดังกล่าวนั้นไม่สามารถดับได้โดยน้ำธรรมดา
มีการบันทึกไว้ว่าอาวุธนี้ถูกใช้ในการจับไล่ผู้รุกรานอาหรับ
โดยไฟกรีกสามารถนำมาใช้ในหลายรูปแบบ เช่น
ใช้มันถูกเทลงในขวดและโยนระเบิดใส่ศัตรู หรือกาน้ำแบบพกพา
แต่แล้วเทคโนโลยีนี้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยหลังจากการล่มสลายของไบแซนไทน์
และแม้ว่ามีบันทึกหลายฉบับเขียนกล่าวว่ามันมีการใช้จริง
แต่ไม่ค่อยมีใครรู้การทำงานของมัน
ในขณะที่องค์ประกอบทางเคมีของไฟกรีกยังคงมีการศึกษาและได้รับความสนใจจากนัก
ประวัติศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์
โดยทฤษฏีแรกคือการผสมของดินประสิวคล้ายกับการทำดินปืน
แต่ความคิดนี้ปฏิเสธเพราะว่าดินประสิวไม่ไหม้ในน้ำ
และทฤษฏีใหม่เชื่อว่าจะเป็นไฟกรีกคือส่วนผสมต่างๆ ของสารเคมีปิโตรเลียม
รวมถึงปูนขาว กำมะถัน