เปลือยหมดเปลือก จาก "ครี พัสวีพิชญ์ ศรณ์อัครภา" เสพติดศัลยกรรม "เหมือนตายทั้งเป็น" !!



มีคนไม่มากที่รู้สึกพึงพอใจกับสภาวะร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยไขมันส่วนเกินของตนเอง

เห็นได้จากความพยายามแทบทุกวิถีทางในการลดน้ำหนักและขจัดไขมันส่วนเกินอันไม่พึงประสงค์ออกไปจากร่างกาย เพื่อให้ได้รูปร่างที่ผอมเพรียวเรียว แบบฟิตแอนด์เฟิร์มกลับมาแทนที่สภาพอ้วนฉุ

สำหรับกระบวนการนำมาซึ่งหุ่นดียอดฮิตและปลอดภัยที่สุดคงต้องยกให้ "การออกกำลังกาย" ที่ควรมาพร้อมกับ "การควบคุมอาหาร"

เพียงแต่วิธีข้างต้นค่อนข้างเห็นผลช้าในความรู้สึกของใครหลายคน ทำให้มีคนเจ้าเนื้อบางส่วนเลือกใช้ "วิธีลัด" ที่มาพร้อมกับอันตรายและความเสี่ยง อย่างการทานยาลดความอ้วน หรือลงเข็มดูดไขมันแทน

หนึ่งในนั้นคือ "ครี-พัสวีพิชญ์ ศรณ์อัครภา" ดารานางแบบและผู้กำกับสาวสุดเซ็กซี่ที่เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" อย่างหมดเปลือก ถึงเรื่องราวการใช้วิธีลัดลดความอ้วนส่วนเกินแสนเจ็บปวดของตนเอง เพื่อเป็นอุทาหรณ์กับใครก็ตามที่กำลังคิดหุ่นสวยด้วยการดูดไขมัน

"ปกติไม่ได้เป็นคนอ้วน เป็นคนเอวคอดเล็กแบบหุ่นลูกแพร์ ช่วงบนเล็กเรียวช่วงล่างใหญ่ โดยเฉพาะช่วงต้นขากับเลิฟแฮนเดิลจะใหญ่มากถึงขนาดมองเห็นเป็น 2 สะโพก แถมออกกำลังกายยังไงมันก็ไม่ลดด้วยนะ มันจึงเป็นที่มาให้เราต้องวิ่งไปให้หมอช่วยเอาออก ก็เราอยากสวยนี่นา"

วิธีแรกที่ครีตัดสินใจเลือกทำคือการฉีด "คาบ็อกซี่"เข้าที่ต้นขาทั้ง 2 ข้าง เพื่อลดขนาดให้เล็กลง และปรับผิวให้เรียบขึ้น

แต่น่าแปลกตรงที่การฉีดคาบ็อกซี่กลับไม่ส่งผลใด ๆ ต่อรูปร่างต้นขาของเธอเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะผ่านการฉีดอย่างต่อเนื่องมาถึง 98 ครั้งแบบวันเว้นวันแล้วก็ตาม อีกทั้งปริมาณการฉีดคาบ็อกซี่เข้าไปในขาแต่ละข้างยังมากถึง 5,000 ซีซี

"การฉีดคาบ็อกซี่เข้าร่างกายความจริงแล้วมันเจ็บมาก เหมือนกับมีอะไรเข้าไปแทงอยู่ข้างในขา เพราะมันเป็นการอัดแก๊สเข้าไปในร่างกายส่วนที่เป็นสุญญากาศจนขยายตัวออกและวิ่งไปตามส่วนที่เราจะลด แต่เราฉีดมาเยอะมากจนร่างกายชินไม่รู้สึกเจ็บอะไรแล้ว แถมยังรู้สึกชอบโมเมนต์ความเจ็บตอนนั้นด้วยนะ เราว่ามันเพลินดีจนมีเผลอหลับไปก็เคยนะ (หัวเราะ)"

เมื่อคาบ็อกซี่ไม่ได้ผล ครีจึงได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้ลองใช้วิธี "ดูดไขมัน" หรือ "เบเซอร์" แทน ซึ่ง "น่าจะ" เห็นผลดีกว่า

สำหรับขั้นตอนการทำ ครีอธิบายว่าหลังจากฉีดยาชาแล้ว หมอจะสอดเข็มแท่งยาวเข้าไปบริเวณโคนขาตามรอยบิกินีถึงข้างละ 3 เข็ม 3 ครั้ง เพื่อเปิดช่องด้านในขาสำหรับการฉีดน้ำเกลือเข้าไปตีผสมกับไขมันส่วนเกินให้กลายเป็นของเหลว ก่อนที่จะดูดไขมันออกจากขาด้านนอก, ด้านใน และด้านหลัง

"ความรู้สึกตอนแทงเข็มเข้าไปมันเจ็บแบบบอกไม่ถูก เจ็บเหมือนจะตาย คิดว่าคงไม่มีอะไรที่เจ็บกว่านี้อีกแล้ว ยอมรับเลยว่าเป็นอะไรที่ทรมานมาก กัดจนหมอนแทบขาด พอดูดเสร็จเราไม่ได้พักฟื้นที่โรงพยาบาลแต่กลับบ้านทันที ผลที่ได้คือเลือดไหลนองเต็มเตียงอยู่ 3 วัน เดินไปไหนมาไหนไม่ได้อยู่เกือบ 10 วัน"

เช่นเคยกับการฉีดคาบ็อกซี่ เพราะการดูดไขมันครั้งนั้นสามารถรีดส่วนเกินออกมาได้เพียงแค่ 300 มิลลิลิตร เป็นที่มาของการตัดสินใจกลับไปเพิ่งมือหมอดูดไขมันอีกหน ซึ่งครั้งนี้ผลออกมาน่าพอใจมากสำหรับดาราสาว เพราะขจัดไขมันออกไปได้ถึง 2,200 มิลลิลิตร

ส่วนเรื่องความเจ็บปวดทรมานจากการดูดไขมัน แน่นอนว่าไม่แตกต่างจากครั้งแรกเลยแม้แต่น้อย เพราะต้องนอนเลือดท่วมเตียงอีก 3 วันเต็ม ๆ

"ผลจากการดูดครั้งที่สอง ช่วงเลิฟแฮนเดิลกับต้นขาเรียบสนิทอย่างที่ใจคิด แต่ด้วยความที่เราหยุดปากไม่ได้ส่วนเกินมันก็กลับมาอีกหน ซึ่งกลับมาครั้งนี้มันไม่ได้มาที่เดิม แต่ย้ายที่กลับไปอยู่ในจุดที่เราไม่ได้ดูดแทน นั่นก็คือหน้าท้อง จากเมื่อก่อนไม่เคยเกิน 26-27 นิ้ว ใช้เวลาไม่ถึงปี มันกลับเพิ่มมาถึง 31 นิ้ว"

ด้วยความที่ยังไม่เข็ดกับความเจ็บปวดจากการดูดไขมัน ทำให้ตัดสินใจกลับไปทำอีกเป็นครั้งที่ 3 รีดส่วนที่ยังเป็นปัญหาออกไปอีก 2,800 มิลลิลิตร จนในที่สุดก็ได้รูปร่างเปอร์เฟ็กต์กลับมาอีกหน แลกกับการนอนระบมในโรงพยาบาลพร้อมขอฉีดมอร์ฟีนระงับปวดไปอีก 4 วัน

แต่นอกจากทรวดทรงองค์เอวเล็กเพรียวแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ครีได้รับกับมาจากการดูดไขมัน 3 หน และฉีดคาบ็อกซี่อีก
98 ครั้ง คือความเสียหายของร่างกายที่จะไม่มีวันกลับ คือเป็นแบบเดิมได้อีกครั้ง

"ทุกวันนี้เรายังเสียใจกับการที่เราไปทำอยู่เลย ตอนนี้เราไม่สามารถใส่ขาสั้นได้อีกแล้ว เพราะหากสังเกตดี ๆ มันจะเห็นเป็นคลื่นของรอยเข็มดูดไขมันเต็มขาไปหมด แถมยังมีแผลเนื้อตายสนิทขนาดเท่าเหรียญสิบหลังต้นขา ที่เกิดจากการแทงเข็มลงไปแล้วเกิดไปตัดกับเส้นเลือดสำคัญอีก ทำให้เวลาถ่ายชุดว่ายน้ำจำเป็นต้องอาศัยการรีทัชเข้าช่วยลบรอยออก (หัวเราะ)"

อีกทั้งปัญหาของการดูดไขมันเป็นบางส่วนคือการกลับมาของส่วนเกินในจุดที่ไม่เคยดูดมาก่อน

"ว่ากันว่าการทำศัลยกรรมพลาดครั้งเดียวคือตายเลย แต่เราโชคดีที่ไม่ตาย (หัวเราะ) ดังนั้นคนที่คิดจะทำต้องทำใจให้ได้ว่ามันสามารถออกมาได้ทั้งดีสุดและเสียสุด หรือเสียบางส่วน ที่สำคัญคืออย่าไปทำเพราะเห็นคนอื่นทำออกมาดี ส่วนตัวแล้วมองว่าการทำศัลยกรรมให้ดูดีมันต้องมีบุญเก่า เจ้ากรรมนายเวรอยากให้สวยหรือเปล่า (หัวเราะ) และสุดท้ายคือหมอ ถ้าเจอดีก็ดีไป แต่ถ้าเจอแบบง่อย ๆ งานก็จะออกมาง่าย ๆ ได้เหมือนกัน"

ครีเล่าว่าครั้งหนึ่งเคยไปฉีดโบท็อกซ์ที่หน้า แล้วแพทย์อัดเข้าไปรวดเดียวถึง 20 ยู (มากกว่าปกติถึง 2 เท่า) ส่งผลให้เส้นเลือดบางส่วนหยุดทำงานไปชั่วครั้งชั่วคราว จนเกิดอาการหน้าแข็งทานข้าวไม่ได้ มีเสียงตุ๊บ ๆ ในหู ก่อนที่จะล้มหน้าฟาดไปแบบไม่ทันตั้งตัว

อย่างไรก็ตาม แม้จะได้รับประสบการณ์ตรงจากความเสี่ยงแสนเจ็บปวดมาแบบเต็ม ๆ นับครั้งไม่ถ้วน แต่ดูเหมือนว่าครีจะยังไม่เข็ดหลาบอย่างจริงจัง เพราะทันทีที่ถามออกไปว่ายังคิดที่จะลดความอ้วนและส่วนเกินด้วยวิธีลัดอีกหรือไม่ เธอก็ตอบกลับมาโดยใช้เวลาคิดไม่นานว่า "ยังอยากทำเหมือนเดิม"

"เรายอมรับว่าสิ่งที่เราทำผิดธรรมชาติ มันเป็นขั้นตอนลัดและโกงตัวเองที่ไม่เป็นผลดี ถ้าเราไม่เลิกตามใจปาก สุดท้ายแล้วยังไงส่วนเกินเหล่านั้นมันก็จะกลับมาอีก อย่างตอนนี้มันก็ไปโผล่หลายที่ เป็นหนอกใหญ่ ๆ ช่วงแขนในส่วนที่เราไม่เคยดูด ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการฝึกวินัยให้ตนเอง"

การฝึกฝนเองนั้น ครีแนะนำว่าสิ่งแรกให้เริ่มจากหยุดปากให้ได้เสียก่อนจะดีที่สุด หากงดอาหารบางจำพวกไม่ได้จริง ๆ ก็ควรจะใช้วิธีการเลือกกิน เช่น เนยไขมันต่ำ, แยมโลว์ชูการ์, ดาร์กช็อกโกแลต, ขนมปังโฮลวีต เป็นต้น

อีกวิธีคือการเลือกเก็บอาหารหรือขนมที่ตนเองอยากทานเอาไว้เฉพาะช่วงเช้าเท่านั้น เนื่องจากมื้อเช้าต่อให้ทานมากแค่ไหน กว่าจะถึงตอนเย็นร่างกายก็จะนำสิ่งเหล่านั้นออกมาใช้จนหมดเกลี้ยง

สำหรับมื้อกลางวันให้เน้นพวกสลัดเป็นหลัก และหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้ง ขณะที่มื้อเย็นหากเป็นไปได้ก็ควรจะงดไปเลย ซึ่งครีรับรองว่าสูตรนี้ผอมแน่นอน แต่หากจะให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดคงต้องพึ่งการออกกำลังกายด้วยอีกทาง

"จริง ๆ แล้วทุกอย่างมันอยู่ที่การกิน หยุดตัวเองให้ได้เป็นพอ ส่วนตัวตอนนี้ก็ลดและเพลาลงได้แล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าหยุดนะ (หัวเราะ)"



Credit : http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1386849352