ถ้ำนี้ซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ มีประชากรเพียง 100 คน ที่ชื่อ Er Wang Dong ซึ่งเมื่อเข้าไปได้ก็ต้องตะลึงกับขนาดที่ใหญ่โตมโหฬารของถ้ำ ที่มีเมฆลอยล่องอยู่ด้านในด้วย ร็อบบี้ โชนส์ ช่างภาพและนักสำรวจถ้ำจากเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เป็น 1 ในทีมนักสำรวจ 15 คน ที่ใช้เวลา 1 เดือนผจญภัยในถ้ำแห่งนี้ บอกว่า "บางส่วนของถ้ำเคยเป็นเหมือนแร่ไนเตรดมาก่อน โดยเฉพาะบริเวณใกล้กับทางเข้า แต่จากเท่าที่เห็นไม่ได้มีร่องรอยว่ามีการระเบิดเกิดขึ้นแต่อย่างใด ทางเดินหลักของถ้ำอยู่ลึกลงไปใต้ดินและไม่สามารถมองขึ้นไปเห็นแสงสว่างได้ ผมรู้สึกวิเศษสุดมากที่คิดว่าได้เป็นคนแรกที่ย่างก้าวเข้ามายังถ้ำที่พิเศษ สุดเช่นนี้ หรือที่ใดก็ตามที่ไม่มีใครเคยพบเห็นมาก่อน และไม่มีทางรู้ว่าข้างในนั้นคุณจะได้พบหรือค้นหาสิ่งใดต่อไป ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้ที่ถูกเก็บเป็นความลับ หรือยังคงเร้นลับเพื่อให้เราออกไปค้นพบ ผมจึงรักที่จะออกไปสำรวจสิ่งต่างๆ"
โชนส์ตื่นเต้นมากที่เห็นระบบระบายอากาศภายในถ้ำที่ประสานกันเป็นเครือข่าย เชื่อมโยงสัมพันธ์ "ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน เป็นภาพของบันไดเมฆ มีทั้งเมฆหนาและหมอกลอยอยู่ภายในถ้ำ โดยเมฆและหมอกเหล่านั้นไม่สามารถผ่านช่องแคบเล็กๆ ของหลังคาถ้ำไปได้ ถ้ำมีความสูง 250 เมตรจากพื้นดิน ทำให้ผมนึกถึงเหมืองแร่หินชนวนที่ถูกทิ้งร้างในวันที่อากาศเต็มไปด้วยเมฆ หมอก ที่ผมเคยไปทางเวลส์ตอนเหนือ นอกจากจะมีเมฆลอยอยู่ในถ้ำแล้ว ความชุ่มชื้นภายในถ้ำเองทำให้เกิดอากาศที่เย็นกว่าด้านนอกมาก จึงเกิดกลุ่มหมอกขึ้นในพื้นที่กว้างใหญ่ที่เร้นลับแห่งนี้
ในส่วนกว้างที่สุดของถ้ำ วัดได้ถึง 51,000 ตารางเมตร ในถ้ำยังมีลำธารและมีพืชพันธุ์ไม้ขึ้นอยู่ที่พื้นของถ้ำ โชนส์บรรยายถึงถ้ำนี้อีกว่า "ถ้ำมีทางเข้าที่กว้างใหญ่มาก แต่บางช่วงจะผ่านไปได้ต้องว่ายผ่านลำธารที่ลึกและยาวมาก บางช่วงของถ้ำสูงชันจนถ้าจะลงไปต้องใช้เชือกผูกเพื่อหย่อนตัวแล้วไต่ผนังถ้ำ ลงไป ตอนอยู่ในถ้ำเรากลัวว่าระดับน้ำจะขึ้นสูง โดยเฉพาะในช่วงที่ฝนตกหนัก เพราะบริเวณแอ่งเก็บน้ำของถ้ำมีปริมาณน้ำมหาศาลมาก ถ้าเกิดน้ำล้นขึ้นมาถ้ำแห่งนี้ก็จะอันตรายมาก และเราจะไม่สามารถเข้าไปได้อีก".