อันดับ 10: ไข่นกกระจอกเทศ
เรื่องมีอยู่ว่า...
เมื่อ วันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่ อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา
มีชาวประมงพบไข่ขนาดใหญ่ขนาดเท่าลูกมะพร้าว ซึ่งเจ้าของไข่เปิดเผยว่า
ขณะที่เขาตระเตรียมอวนตาข่ายเพื่อหาปลา
ได้สังเกตเห็นวัตถุสีขาวลักษณะกลมรีคล้ายไข่ไก่ แต่มีขนาดใหญ่ผิดปกติ
ตั้งอยู่บนพื้นในพงหญ้า จึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
พบว่าลักษณะภายนอกเปลือกแข็งเหมือนไข่ทั่วไป มีสีขาวครีม ส่งกลิ่นคาว
ซึ่งชาวบ้านบางคนคาดว่าสัตว์ที่เป็นเจ้าของคงจะตัวใหญ่มาก
และบริเวณที่พบมีน้ำลึกมาก อาจมีสัตว์น้ำขนาดใหญ่มาอาศัยอยู่
ขณะเดียวกันบริเวณนั้นอยู่ห่างจากทะเลประมาณ 700 เมตร
ถือว่าไม่ไกลมากนักอาจมีสัตว์บางชนิดขึ้นมาจากทะเลแล้ววางไข่ก็เป็นได้
จึงมีการจุดธูปกราบไหว้บูชาและใช้แป้งโรยไปที่ไข่
(หมายถึงไข่ที่เก็บมาจากทะเล) แล้วใช้มือลูบหวังให้เห็นเลขเด็ด
เหตุผลที่ไม่ควรกราบไหว้...
นาง ระวีวรรณ ยิ่งวรรณศิริ หัวหน้าปศุสัตว์ จ.พังงา เปิดเผยว่า
ไข่ที่พบน่าจะเป็นไข่ของนกกระจอกเทศ
โดยที่จังหวัดพังงามีฟาร์มนกกระจอกเทศอยู่ 2-3 แห่ง
ลูกจ้างของเจ้าของฟาร์มอาจจะขโมยมาจากที่อื่น แล้วนำมาทิ้งไว้
เพื่อจะนำไปปรุงรับประทาน เพราะไข่นกกระจอกเทศนั้นมีราคาแพงมาก ใบละ 100
กว่าบาท แต่เพื่อมั่นใจว่าใช่หรือไม่ ใช่ ต้องนำไข่ไปพิสูจน์ในห้องแล็บ
แต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะจากการสอบถามเจ้าของไข่แล้ว ไม่ยอมให้นำไปพิสูจน์
และขณะนี้พบว่าไข่เริ่มมีกลิ่นเหม็นเน่าแล้ว
อันดับ 9: ต้นหว้า
เรื่องมีอยู่ว่า...
วัน ที่ 15 กุมภาพันธ์ ปีนี้ ที่ อำเภอชุมพวง จังหวัดนครราชสีมา
ชาวบ้านจำนวนมากแห่ไปมุ่งดูและกราบไหว้ต้นหว้าที่มีน้ำไหลออกมาอย่างขาดสาย
เจ้าของที่ดินกล่าวว่า ตนเองกำลังจะตัดต้นไม้ต้นดังกล่าวเพื่อต้องการ
ไถดินเพื่อนำนา
แต่หลังจากทำงานมาตลอดทั้งวันจึงได้หยุดพักโดยได้นั่งหลบแดดอยู่ใต้ต้นไม้
ดังกล่าวซึ่งเป็นต้นหว้า
แต่เมื่อนั่งไปได้ระยะหนึ่งรู้สึกว่ามีหยดน้ำไหลออกมาจากต้นไม้
ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
จึงเริ่มเดินตรวจสอบบริเวณต้นไม้จึงพบว่ามีหยดน้ำที่ไหลลงมาจากต้นไม้และไม่
ใช่หยดน้ำที่เกิดจากน้ำค้างอย่างแน่นอน
และเมื่อข่าวแพร่สะพรัดออกไปชาวบ้านจำนวนมากต่างพากันมาดูพร้อมกับน้ำภาชนะ
มารองรับน้ำเพื่อนำกลับไปดื่มและอาบเพราะเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์
อีกทั้งชาวบ้านบางส่วนยังเชื่ออีกว่าน้ำที่หยดลงมานั้นเป็นหยดน้ำตาของ
ต้นไม้ที่เสียใจว่าจะต้องถูกตัดทิ้งจึงได้ร้องไห้ออกมา
อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ไปตนเองคงจะไม่กล้าที่จะตัดต้นไม้ต้นนี้ทิ้งอย่างแน่
นอนเนื่องจากชาวบ้านต่างมามุงดูและไม่ยอมให้ตนเองตัดทิ้ง
เหตุผลที่ไม่ควรกราบไหว้...
ต้นไม้ ดังกล่าวเป็นต้นหว้าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติความสูงประมาณ 15 เมตร
มีอายุราว 20 ปี ซึ่งต้นว่าเป็นต้นไม้ที่รับประทานผลได้
ส่วนสาเหตุของเรื่องประหลาดที่มีน้ำหยดลงมานั้น
จากการตรวจสอบพบว่าน้ำได้ไหลออกมาจากส่วนใบ ผ.ศ. ยงยุทธ์ จรรยารักษ์
กล่าวว่านี่เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดจากปัจจัยต่างๆ ที่เหมาะสม เช่น ความชื้น
ความกดอากาศ สภาวะแวดล้อม และ กระบวนการหาอาหารของต้นไม้
ซึ่งในบางครั้งที่อากาศมีความชื้นสัมพันธ์สูง
น้ำจะระเหยเป็นไอสู่บรรยากาศได้น้อยลง ทำให้การคายน้ำลดลง
แต่แรงดันน้ำในต้นพืชยังสูงอยู่
จึงสามารถพบหยดน้ำที่บริเวณกลุ่มรูเปิดที่ผิวใบซึ่งเรียกว่า ไฮดาโทด
(hydathode) มักพบอยู่ใกล้ปลายใบหรือขอบใบตรงตำแหน่งของปลายท่อลำเลียง
การคายน้ำในลักษณะนี้เรียกว่า กัตเตชัน (guttation)
ทำให้พืชสามารถดูดน้ำทางรากเข้าไปใช้ได้
ไม่ได้เกิดจากความเศร้าเสียใจของต้นไม้แต่อย่างใด
อันดับ 8:ควาย
เรื่องมีอยู่ว่า...
บ่าย วันที่ 23 กันยายน 2550
ได้มีชาวบ้านจากทั่วสารทิศในจ.ศรีสะเกษจำนวนมากนำดอกไม้
ธูปเทียนมากราบไหว้ลูกควายประหลาดมีรูปร่างหน้าตาเหมือนคน
ถูกจัดวางให้อยู่ในสภาพนอนหงาย
แขนขากางออกจากกันลักษณะเหมือนกับท่าทางคนนอนหลับ เจ้าของลูกควายประหลาด
เปิดเผยว่า มีควายอยู่ทั้งหมด 9 ตัว โดยแม่ของลูกควายประหลาดนี้เป็นตัวที่ 5
ได้ตกลูกออกมาเมื่อ มีลักษณะประหลาดท่าทางเหมือนคนทุกอย่าง ตั้งแต่ศีรษะ
ปาก จมูกหู รวมทั้งขาทั้ง 4 ข้าง (เหมือนคนทุกอย่าง???)
แต่ไม่มีอวัยวะแสดงลักษณะของเพศผู้หรือเพศเมีย
และลูกควายประหลาดได้เสียชีวิตทันทีตั้งแต่แรก
ตนกับสามีจึงได้นำซากควายประหลาดไปฝังดินไว้ในนาของตัวเอง
ชาวบ้านบางส่วนได้นำน้ำปะพรมบนซากควายประหลาด
และเอาแป้งทาตามร่างของซากลูกควายเพื่อขอหวยตามความเชื่อของตัวเองอย่าง
คึกคัก พร้อมนำเงินมาทำบุญใส่ในขันเงินและหยอดตู้ไม้ตามแต่ศรัทธา
เหตุผลที่ไม่ควรกราบไหว้...
หลวง ปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรมบ้านยาง ต.ยาง
อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า
อาตมาเห็นว่าการที่ชาวศรีสะเกษพากันแห่ไปกราบไหว้ซากลูกควายประหลาดนี้
ถือว่าเป็นความเชื่อส่วนบุคคลที่สามารถจะทำได้
แต่ว่าตามหลักธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติไว้ว่า
จะต้องให้พุทธศาสนิกชนไปกราบไหว้ซากสัตว์แต่อย่างใด
อันดับ 7: เห็ด
เรื่องมีอยู่ว่า...
เมื่อ วันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา
มีชาวบ้านล่ำลือกันว่าพบเห็ดประหลาดโผล่ขึ้นมามีลักษณะคล้ายกับหนวดปลาหมึก
สูงประมาณ 7-8 นิ้ว โผล่ชูหนวดขึ้นมาประมาณ 8-9
หนวดแถมยังมีน้ำคล้ายน้ำเมือก เจ้าของเห็ดกล่าวว่า
ก่อนหน้านี้ตนก็ได้ฝันเห็นงูสีปีกแมงทับเขียวมรกตขนาดใหญ่ 3 ตัว
ในฝันนั้นบอกว่างูทั้ง 3
ตัวเป็นผัวเมียและลูกได้มาเกี้ยวพันกันอยู่ในขื่อภายในบ้านของตนแต่ก็ไม่ได้
ฝันอะไรต่อไปอีก
จึงทำให้ตนสงสัยว่าจะเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้หรือไม่
เพื่อความสบายใจของประชาชนในละแวกนี้และผู้ที่พบเห็น
ตนจึงได้นำดอกไม้ธูปเทียนมาบูชาเพื่อให้สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเหตุที่ดีแก่
ครอบครัวและชุมชน
เหตุผลที่ไม่ควรกราบไหว้...
เช่น เดียวกับเห็ดมือผีที่โด่งดังเมื่อหลายปีก่อน
เห็ดชนิดนี้อยู่ในกลุ่มของเห็ดเขาเหม็น (Stink Horn) เห็ด
กลุ่มนี้มีลักษณะพิเศษคือ
จะส่งกลิ่นเหม็นเมื่อดอกเห็ดแก่เพื่อดึงดูดแมลงให้มาตอม
ซึ่งจะทำให้สปอร์ติดตัวไปกับแมลงเพื่อกระจายพันธุ์ยังที่อื่นได้
เป็นเห็ดที่มีลักษณะแตกต่างไปจากราทั่วไป คือ
บางชนิดมีรูปร่างคล้ายการพนมมือไหว้ เช่น เห็ดในสกุล Pseudocolus
หรือบางชนิดอาจมีลักษณะคล้ายเขาสัตว์
อันดับ 6:ปลาจระเข้
เรื่องมีอยู่ว่า...
วัน ที่ 27 กุมภาพันธ์ปีที่แล้ว
ชาวปทุมธานีพบกับปลาประหลาดที่ลำตัวมีเกล็ดสีดำเทาเงาคล้ายเกล็ดงูเห่า
มีลิ้น 2 แฉก ลักษณะแฉกมนคล้ายรูปหัวใจ และมีกลิ่นคาวปลา
เหม็นแรงกว่าปลาชนิดอื่นๆ มีความแปลกเหมือนมีลักษณะของอวัยวะในส่วนต่างๆ
ของปลา งู จระเข้ รวมกัน ซึ่งเจ้าของปลาดังกล่าว เล่าว่าตนฝันแปลกๆ
ฝันเห็นว่ามีผู้หญิงแก่เดินเข้ามาหาและจับมือตนไว้ จากนั้นเข้ามากอด
เมื่อหญิงแก่คนนั้นกอดตนแล้วสภาพร่างกายของหญิงแก่ก็กลายสภาพเน่าเฟะเหม็น
เหมือนศพ จากนั้นตนสะดุ้งตื่น ตอนเช้ามาจึงใส่บาตรทำบุญ และจุดธูปไหว้ขอขมา
ซึ่งชาวบ้านที่เข้ามาดูต่างพากันมาลูบที่ตัวปลา
มีบางคนมาขอเกล็ดไปไว้บูชาที่บ้านบ้าง จุดธูปไหว้บ้าง
วันนั้นทั้งวันตนไม่เป็นอันขายของ
เพราะต้องเดินเข้าออกไปมาหยิบปลาประหลาดให้ชาวบ้านที่แห่มาขอดู
เหตุผลที่ไม่ควรกราบไหว้...
ดร. สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า
จากการตรวจสอบในเบื้องต้นทราบว่า ปลาที่พบคือ ปลาจระเข้
หรือปลาอัลลิเกเตอร์ การ์ อาศัยอยู่มากในแถบรัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา
สำหรับปลาชนิดนี้เป็นปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร
โดยส่วนมากถูกนำเข้ามาในประเทศไทย เพื่อเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม
และเลี้ยงไว้ในบ่อตกปลา
ปลาในข่าวอาจจะมีผู้นำมาเลี้ยงเมื่อเกิดเบื่อก็นำมาปล่อยทิ้ง
หรืออาจจะหลุดออกมาในช่วงน้ำท่วม ซึ่งในปีพ.ศ.2545
ทางกรมประมงประกาศห้ามนำเข้าปลาจระเข้ เนื่องจากเป็นปลากินเนื้อ
อาจทำลายระบบนิเวศของแหล่งน้ำ ด้วยการกินปลาพื้นเมืองที่มีขนาดเล็กกว่า
จนทำให้ระบบนิเวศเกิดความเสียหายหรือปลาอาจสูญพันธุ์ได้
อันดับ 5: ต้นบุก
เรื่องมีอยู่ว่า...
ใน วันที่ 24 เมษายน 2550 ชาวบ้านเมืองพิจิตร ต่างมาชุมนุมกัน
หลังทราบข่าวว่าที่บ้านหลังดังกล่าวมีต้นไม้ประหลาดผุดขึ้นมาจากพื้นดิน
มีลักษณะคล้ายพานพุ่มที่จัดวางบนโต๊ะหมู่บูชา โดยต้นไม้ดังกล่าวสูงประมาณ
25 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 20 เซนติเมตร
ซึ่งหากมองจากทางด้านข้างจะเห็นคล้ายพานพุ่ม
แต่ถ้ามองจากด้านบนจะคล้ายใบโพธิ์เรียงล้อมรอบ ชาวบ้านที่
เดินทางมาดูต้นไม้ประหลาดดังกล่าวต่างพากันจุดธูปเทียนกราบไหว้
พร้อมทั้งบนบานขอให้มีโชคลาภ
เพราะลือกันว่าในงวดที่ผ่านมามีผู้ถูกรางวัลเลขท้ายสองตัวจากจำนวนก้านธูป
ที่คนนำมากราบไหว้กัน
เหตุผลที่ไม่ควรกราบไหว้...
มัน คือต้นบุก ซึ่งอยู่ในวงศ์เดียวกับต้นบอน (Araceae) เป็นไม้ล้มลุก
ลำต้นอวบ ไม่มีแก่น สูง 3-6 ฟุต มีดอกสีม่วงเหมือนดอกหน้าวัว
เป็นพืชท้องถิ่นของ ประเทศญี่ปุ่น จีน ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดจีน
ในประเทศไทย คนไทยใช้เป็น อาหารกันมาช้านานแล้ว โดยใช้ต้นใบ
และหัวบุกมาทำขนม เช่น ขนมบุก แกงบวชมันบุก แกงอีสาน (แกงลาว)
ซึ่งการนำบุกมาทำอาหารจะแตกต่าง กันในแต่ละภาค นอกจากประโยชน์ดังกล่าวแล้ว
บุกใช้เป็นไม้ประดับที่สวยงามโดย
นักจัดสวนนิยมนำมาประดับตามใต้ร่มเงาของไม้ยืนต้นที่มีป่าโปร่ง
หรือจะนำมาใส่กระถางเป็นไม้ประดับ
อันดับ 4: จิ้งจก
เรื่องมีอยู่ว่า...
ใน เวลาราวๆ ตีสาม เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมาซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา
ที่บ้านหลังหนึ่งใน อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เจ้าของบ้านตื่นขึ้นมากลางดึกและจิ้งจกสีแดงตัวหนึ่งเกาะอยู่ในมุ้ง
ซึ่งตอนแรกเจ้าของบ้านก็ไม่ได้สนใจอะไรและนอนหลับไป
จนกระทั่งเช้าจิ้งจกสีแดงก็ยังเกาะอยู่ที่เดิม
จึงอธิษฐานจิตบอกจิ้งจกตัวนั้นว่า "อยากอยู่ด้วยกันก็ได้"
พร้อมทั้งยกมือไหว้แล้วเอื้อมมือไปจับจิ้งจกได้อย่างง่ายดาย
โดยมันไม่ได้คลานหลบหนีไปไหน และได้ไปนำเอาตู้ปลามาใส่เลี้ยงไว้
พร้อมตั้งชื่อเจ้าจิ้งจกสีแดงว่า "ถุงเงินถุงทอง"
โดยจิ้งจกตัวดังกล่าวมีสีแดงทั้งตัว ขนาดความยาวประมาณ 10 เซนติเมตร
นอกจากนี้นิ้วเท้าทั้ง 4 ข้าง ยังแปลกประหลาดกว่าจิ้งจกทั่วไป
ซึ่งปกติจะมีนิ้วข้างละ 4 นิ้ว แต่จิ้งจกสีแดงดังกลาวมีนิ้วข้างละ 5 นิ้ว
เจ้าของบ้านจับใส่ไว้ในตู้ปลามีมุ้งลวดปิดคลุมไว้
ซึ่งบริเวณแผ่นกระจกด้านนอกตู้ ได้มีชาวบ้านนำแผ่นทองคำเปลวมาปิดไว้
บางรายนำผ้าแพร 3 สี และพวงมาลัยมาผูกไว้ที่หน้าตู้
ประชาชนที่เดินทางไปดูจิ้งจกสีแดงต่างแสดง ความตื่นเต้นประหลาดใจ
บางคนก็พูดว่าเป็นมันเป็นจิ้งจก นปช.
เหตุผลที่ไม่ควรกราบไหว้...
นาย อรรถกร สุขทวี ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ปีกและสัตว์เลื้อยคลาน
สวนสัตว์ดุสิต กล่าวว่า
ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าจิ้งจกดังกล่าวเป็นสายพันธุ์อะไรเนื่องจากยังไม่
เห็นตัวจริง แต่เบื้องต้นจากลักษณะที่บอก
คาดว่าอาจเป็นจิ้งจกสายพันธุ์ต่างประเทศที่มีผู้นำเข้ามาเลี้ยง
แต่ยังไม่สามารถระบุชื่อพันธุ์ได้ชัดๆ เพราะไม่มีในเมืองไทย ทั้งนี้
ปัจจุบันมีผู้นิยมนำสัตว์เลื้อยคลานจากต่างประเทศเข้ามาเลี้ยงเป็นจำนวนมาก -
อย่างไรก็ดีทางผู้ชื่นชอบสัตว์เลื้อยคลานจากเว็บ siamreptile
เชื่อว่าเป็นจิ้งจกบ้านหางอ้วนตัวเมียที่ตกถังสีมา
และยังกล่าวไว้ว่าจิ้งจกดังกล่าวนั้นมี 5
นิ้วอยู่แล้วไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด
อันดับ 3: เสาอาคาร
เรื่องมีอยู่ว่า...
เรื่อง เล่ามีอยู่ว่า มีคนงานสาวชาวพม่าตกลงไปในแบบหล่อเสา ขนาดใหญ่
แต่เพื่อนคนงานไม่รู้เลยเทปูนซีเมนต์ทับลงไป ทำให้ฝังร่างเหยื่อทั้งเป็น
มารู้อีกครั้งก็ตอนแกะแบบเหล็กออกไปแล้ว จึงเห็นเป็นรูปตัวคนปรากฏอยู่ในเสา
วิศวกรคุมงานสั่งให้คนงานช่วยกันกะเทาะคอนกรีตเพื่อนำศพออกมา
แต่เนื่องจากคอนกรีตหล่อเสาดังกล่าวมีความแข็งมาก
จึงนำศพออกมาได้เพียงบางส่วน
จากนั้นวิศวกรจึงสั่งให้อัดซีเมนต์เข้าไปในรอยกะเทาะดังเดิมและฉาบปูนปิดทับ
แต่ก็ยังคงปรากฏเป็นรอยปะอยู่ที่เสาสองรอย
ซึ่งบริเวณตรงกลางเสาต้นดังกล่าว
มีร่องรอยการฉาบปูนซีเมนต์ขนาดใหญ่ปิดทับอยู่ 2 จุด
ลักษณะคล้ายถูกเจาะเนื้อปูนเดิมออกแล้วมีการฉาบปูนใหม่ปิดทับ
ผิดกับเสาต้นอื่นที่จะมีลักษณะของเนื้อปูนที่ราบเรียบสม่ำเสมอเป็นเนื้อ
เดียวกัน โดยบริเวณรอยฉาบปูนมีคราบแป้งคล้ายมีคนมาถูหาตัวเลข
และมีแผ่นทองคำเปลวมาติดที่ต้นเสาเพื่อขอหวย
นอกจากนี้ยังมีผู้นำสายสร้อยลูกปัดมาแขวนไว้คล้ายเป็นเครื่องเซ่นไหว้
สักการะ
เหตุผลที่ไม่ควรกราบไหว้...
ทาง รายการเรื่องจริงผ่านจอได้ติดต่อไปทางวิศวกรผู้สร้างอาคารดังกล่าว
และได้คำอธิบายว่า
โครงสร้างของเสาที่อาคารหลังนั้นเป็นโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก
เป็นเสาขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 60 เซนติเมตร
ซึ่งภายในเสาจะเสริมด้วยเหล็กเสริมขนาด 28 มิลลิเมตรมัดรวมกัน จำนวน 60
เส้น ซึ่งรอยปูนนั้นเกิดจากการไหลเวียนขอวงน้ำปูนขณะเทคอนกรีด
บางช่วงน้ำปูนไหลไม่สะดวกซึ่งเกิดจาการติดเหล็กเส้นจำนวนมากทำให้เกิดรอยดัง
กล่าว และในขณะทำการหล่อเสานั้นจะมีการตรวจสอบที่ละเอียดอย่างต่อเนื่อง
ทั้งก่อนการเทคอนกรีต ขณะเทคอนกรีต และหลังการเทคอนกรีต
ถ้ามีสิ่งแปลกปลอมใดๆ
เช่นเศษลวดหรือเศษไม้ทางผู้ตรวจสอบจะไม่อนุมัติให้เทปูน
จึงยากที่จะมีวัสดุแปลกปลอมหลุดเข้าไปได้ นอกจากนี้แล้ว
จำนวนเหล็กเสริมที่ผูกเรียงกันข้างในนั้นทำให้มีพื้นที่ภายในเสาเพียง 35
เซนติเมตร ซึ่งแคบกว่าคนจะเข้าไปได้
นอกจากนี้แล้วอาจารย์ภาควิศวกรรมโยธาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้นำเอา
เครื่อง Ultra Sonic ไปตรวจสอบ และไม่พบว่ามีสิ่งแปลกปลอมใดๆ
อยู่ในเสาต้นนั้นอย่างที่ข่าวลือกล่าวไว้เลย
อันดับ 2: แผ่นเจลลดไข้
เรื่องมีอยู่ว่า...
เมื่อ วันที่ 11 พฤษภาคม 2549
เกิดพายุฝนตกฟ้าคะนองอย่างรุนแรงที่อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยทานี
และปรากฎวัตถุเรืองแสงคล้ายผีพุ่งไต้หล่นลงมาจากฟากฟ้า
เมื่อพายุสงบลงเจ้าของบ้านหลังหนึ่งได้พบสิ่งมีชีวิตประหลาดมีลักษณะคล้าย
ตัวหนอนเป็นปล้อง สีขาวเป็นวุ้น ข้างในลำตัวมีลักษณะสีขาวขุ่น
คล้ายเป็นแกนน้ำแข็ง มีจุดเล็ก ๆ 2 จุดคล้ายตาและมีติ่งยื่นออกมาคล้ายใบหู
มีขนาดเท่าฝ่ามือ ซึ่งพอจับจะหดตัว แต่พอใส่ในขวดโหลตัวจะพองใหญ่ขึ้น
เจ้าของบ้านหลังนั้นจึงนำธูป หมากพลูและดอกไม้มาบูชา
เชื่อว่าหากใครมีในครอบครอง 7 อัน (เช่นเดียวกับดราก้อนบอล)
จะทำให้เจริญรุ่งเรือง สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้
มากไปกว่านั้นยังนำเอาเนื้อเยื่อที่หลุดลุ่ยไปคลุกเคล้ากับข้าวกินกันในครอบ
ครัวอีกด้วย ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวมีประชาชนเดินทางไปดูเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ฟ้าประทานมาให้
ก่อนจะลงมือจุดธูปเทียนขอเลขเด็ดไปเเทงหวย เลขที่ได้รับความสนใจคือ 115
เเละ 17 โดยตัวเเรกเป็นเลขที่บ้าน ส่วน 17
เป็นจำนวนปล่องที่นับได้จากตัวหนอน
เหตุผลที่ไม่ควรกราบไหว้...
จาก ข้อมูลที่ได้มาตามเว็บบอร์ดต่างๆ
ว่าแท้จริงแล้วหนอนที่ตกมาจากฟ้านั้นนั้นเป็นเพียงเจลลดไข้ที่อมน้ำไว้
ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์พันธุวิศวกรรมฯ
จึงได้ทดสอบนำหนอนประหลาดที่ส่งมาจากชาวบ้าน
มาเปรียบเทียบกับแผ่นเจลลดไข้ที่แช่น้ำไว้ พบว่าวัตถุทั้ง 2 ชิ้น
มีลักษณะเหมือนกันทุกประการ
และหลังจากข่าวได้เผยแพร่ออกไปแผ่นเจลลดไข้ก็ถึงกับขาดตลาด
เนื่องจากผู้คนแห่กันไปซื้อมาเล่น
โดยมีการนำเอาเอาแผ่นเจลมาย้อมสีและทำการตกแต่งประดับไปด้วยวัสดุต่างๆ
เป็นที่สนุกสนานกัน
อันดับ 1: น้ำท่อส้วม
เรื่องมีอยู่ว่า...
เมื่อ วันที่ 4 มกราคม 2550 ชาวบ้าน อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่
และหมู่บ้านใกล้เคียงนับพันคน
แห่มาดูสิ่งประหลาดในรั้วของบ้านหลังหนึ่งที่มีน้ำผุดขึ้นจากดินไหลนองไป
ทั่วบริเวณ โดยชาวบ้านเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดจาก
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานมาให้กับประชาชนที่ยากจนได้ใช้น้ำดังกล่าวไปรักษาโรค
ภัยไข้เจ็บ และเป็นสิริมงคล เจ้าของพื้นที่ที่น้ำผุดขึ้นมา กล่าวว่า
เห็นสนามหน้าบ้านผิดสังเกตตั้งแต่ในช่วงเช้า
เมื่อตรวจสอบพบว่ามีน้ำซึมออกมาจากดิน เมื่อลองเอานิ้วเขี่ยดู
น้ำยิ่งออกมากขึ้น จึงได้บอกให้ชาวบ้านมาดู ซึ่งคืนก่อนเกิดเหตุ
ตนได้ฝันเห็นยายซึ่งเสียชีวิตไปแล้วมาเข้าฝัน
บอกว่าไม่สบายอยากได้ยาพาราเซตามอล เมื่อตนเดินไปหยิบยามาให้
ยายก็หายไปแล้ว
ยายอาจมาเข้าฝันบอกเรื่องยารักษาโรคในขณะตอนเช้าน้ำก็ผุดขึ้นมา
ทำให้นึกถึงฝันดังกล่าวและเชื่อว่าเป็นยารักษาโรค
จึงได้เอาธูปเทียนดอกไม้มาบูชา และขอน้ำไปเก็บไว้เพราะเชื่อว่ารักษาโรคได้
ชาวบ้านบางคนกล่าวว่า
เข้าคิวรอตักน้ำตั้งแต่ทราบข่าวในตอนเช้ากว่าจะได้ตักน้ำก็เกือบเที่ยง
โดยนำธูปเทียน-เงินถวายจำนวน 20 บาท วางใส่ในถาดดอกไม้
คงเป็นบุญของชาวบ้านที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็นใจชาวบ้านที่อยู่ในสภาวะข้าวยาก
หมากแพง จึงประทานน้ำศักดิ์สิทธิ์มาให้รักษาโรคคนยากคนจน
โดยชาวบ้านต่างรุมล้อมเพื่อขอตักน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปบ้าน
ในขณะที่น้ำใต้ดินก็ผุดขึ้นมาตลอดเวลา
ชาวบ้านที่นั่งรอน้ำผุดขึ้นมามีทั้งน้ำและฟองอากาศ
เมื่อชาวบ้านร้องขอให้แสดงปาฏิหาริย์ให้ผุดฟองอากาศ
บ่อน้ำขนาดเล็กก็สำแดงให้เห็นทันที
เหตุผลที่ไม่ควรกราบไหว้...
เมื่อ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจากโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช
ได้เดินทางมาที่เกิดเหตุ เพื่อเก็บตัวอย่างน้ำ ในขณะที่จะเข้าไปตักน้ำ
ปรากฏว่าน้ำที่ไหลออกมาอย่างรุนแรงหยุดทันทีและยุบตัวจนพื้นดินแห้ง
ซึ่งหลังจากนั้นประมาณ 20 นาที น้ำก็ผุดขึ้นมาอีก
ทำให้ชาวบ้านเชื่อว่าแพทย์ที่ไปเก็บตัวอย่างน้ำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่พอใจ
เมื่อไหลออกมาอีก นายสุรินทร์ นิภาโยธิน กำนันตำบลแม่จั๊วะ
ได้นำลูกบ้านขุดหาที่มาของน้ำศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว
ก็พบท่อเก่าเป็นท่อพีวีซีขนาด 6 หุน ซึ่งมีน้ำไหลออกมา
เมื่อขุดตรวจสอบไปอีก
จึงพบว่าเป็นท่อจากส้วมเก่าบ้านติดกันห่างจากจุดเกิดเหตุเพียง 4
เมตรเท่านั้น ซึ่งกำลังมีการสร้างส้วม
และกำลังทำการเปลี่ยนปั๊มน้ำเพื่อสูบน้ำเข้าไปในส้วม
เมื่อชาวบ้านทราบว่าน้ำดังกล่าวมาจากท่อในส้วมเก่า
หลายคนที่ดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์เข้าไปแล้วถึงกับอาเจียนออกมาทันที
เครดิต-pantip