พฤติกรรม
รักเพศเดียวกันสามารถเกิดขึ้นในคุกได้
เพราะคุกเป็นสถานที่ไม่มีเพศอื่นให้คุณเลือก
แต่ผู้ที่มีพฤติกรรมดังกล่าวมักจะไม่ระบุว่าตนเป็นเกย์
และวางแผนจะกลับไปมีชีวิตแบบรักต่างเพศทันทีที่ออกจากคุก
พฤติกรรมดังกล่าวจึงถูกเรียกว่า รักเพศเดียวกั...นตาม
สถานการณ์ (Situational Homosexuality) ซึ่งอาจจะพบในที่อื่นๆ
ที่ผู้ชายต้องใช้เวลาอยู่ร่วมกันนานๆ เช่น ในเรือรบ ค่ายทหาร
โรงเรียนชายล้วน เป็นต้น
หลายคนอาจคิดว่าการมีเพศสัมพันธ์กับเพศ เดียวกันในคุกเป็นการข่มขืนกัน แต่อันที่จริงแล้วมีนักโทษน้อยกว่า๓%ที่รายงานว่าถูกข่มขืนระหว่างอยู่ในคุก (สงสัยว่าเป็นไปได้มั้ยว่ามีมากกว่านี้ แต่รู้สึกเสียเชิงชายที่ต้องบอกว่าตัวเองถูกข่มขืน ...แค่สงสัยน่ะครับ)
อย่าง ไรก็ตามตัวเลขดังกล่าว (๓%) นั้นขึ้นอยู่กับว่าเราให้ความหมายของคำว่า "ข่มขืน" ว่าอย่างไร เพราะมีนักโทษบางคนที่ห่วงความปลอดภัยในชีวิตยอมให้เซ็กส์เซอร์วิสแก่นักโทษ ที่แข็งแกร่งกว่า เพื่อขอความคุ้มครอง ชายเหล่านี้ย่อมรู้สึกว่าตนถูกสถานการณ์บีบบังคับ (ผู้เขียนกำลังจะบอกว่า คนที่ถูกสถานการณ์บังคับให้ "ยอม" ก็น่าจัดอยู่ในคนที่ถูกข่มขืนด้วย เพราะไม่ได้เต็มใจจริงๆ สรุปคือคนเขียนแกขยายความหมาย "ข่มขืน" ให้กว้างกว่าเดิม)
ทั้งนี้ ผลการวิจัยดังกล่าวเปิดเผยว่า จากการศึกษาพบว่า ผู้ต้องขังที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศจะมีประมาณร้อยละ 1-2 ของผู้ต้องขังทั้งหมด(หรืออาจมีมากกว่านั้น) ในขณะที่มีอีกร้อยละ 2-3 ที่มีพฤติกรรมแอบแฝง หรือรักร่วมเพศชั่วคราว เพื่อระบายความใคร่ขณะอยู่ในเรือนจำ
สำหรับผู้ต้องขังที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ หรือรักร่วมเพศมาก่อนเข้าเรือนจำบางคน บอกเล่าว่า เมื่อเข้ามาอยู่ในเรือนจำจะมีผู้ต้องขังชายเข้ามาตีสนิท ให้คำแนะนำในการใช้ชีวิตและสร้างความมั่นใจ รวมถึงข่มขู่เพื่อให้ได้มีเพศสัมพันธ์ในลักษณะรักร่วมเพศ
"พฤติกรรมรัก ร่วมเพศครั้งแรกในเรือนจำเป็นไปในลักษณะจำยอม และจะร่วมกันในลักษณะจับคู่ฉันสามีภรรยาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งสามารถปรับตัวเข้ากับการใช้ชีวิตในเรือนจำได้ ก็จะเริ่มหาคู่ใหม่ในลักษณะที่ตนพึงพอใจอย่างแท้จริง"
พฤติกรรมรัก ร่วมเพศเกิดบ่อยที่สุดในวันหยุดที่ปิดโรงงาน บริเวณมุมอับต่างๆ ภายในเรือนจำฯ ที่เอื้ออำนวย เช่น มิดชิด หรือไกลจากเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้บางครั้งการลักลอบมีเพศสัมพันธ์ในที่อื่นๆ เช่น ในโรงงาน ในเรือนนอน โดยฝ่ายผู้กระทำจะเป็นฝ่ายชักชวน และผู้มีพฤติกรรมรักร่วมเพศมักรวมกลุ่มกัน ผลัดกันดูต้นทาง
นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ต้องขังชายภายในเรือนจำฯ มีค่านิยมแสดงออกในการรักร่วมเพศเพื่อโอ้อวด และการจับคู่ระหว่างผู้ต้องขังชายเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในกลุ่มผู้ต้องขัง โดยระหว่างที่อยู่กันเป็นคู่ผู้กระทำ (ขาใหญ่) จะเป็นฝ่ายเลี้ยงดูผู้ถูกกระทำ ความสัมพันธ์จะมีระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 1 ปี และส่วนใหญ่จะมีพฤติกรรมรักร่วมเพศกับผู้ต้องขังชายอื่นมากกว่า 1 คน ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ถ้าฝ่ายผู้กระทำสามารถมีความสัมพันธ์กับคนใหม่ โดยที่ผู้ถูกกระคนคนแรก ก็ต้องจำใจต้องยินยอมความเป็นไป ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ แม้กระทั้งจะแอบมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนใหม่ถ้าโดนจับได้ และมีการล้อเลียนกันเกิดขึ้นก็ถือเป็นเรื่องที่ถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีของ ชายอีกฝ่ายได้ อาจทำให้เกิดความรุนแรงภายขึ้นได้
ซึ่งพฤติกรรมดัง กล่าวมักจะสร้างปัญหาความวุ่นวายในเรือนจำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศกลุ่มผู้ถูกกระทำ ที่ภายในเรือนจำมีศัพท์เฉพาะเรียกว่า "น้อง" จะมีอิทธิพลด้านจิตใจต่อผู้ต้องขังชายอื่น เกิดค่านิยมที่ขัดต่อระเบียบวินัยเรือนจำ เช่น การสัก การตกแต่งอวัยวะเพศ ปัญหาการทะเลาะวิวาทที่เกิดจากความหึงหวง ค่านิยมการเลี้ยงน้องที่ก่อปัญหาการลักขโมยของผู้ต้องขังอื่น การพึ่งพาญาติที่อยู่ภายนอกเกินกว่าความจำเป็น ปัญหาด้านหนี้สิน พ่อค้าเถื่อน และที่สำคัญคือปัญหาการแพร่ระบาดของโรคเอดส์
ปัจจุบันมีมาตรการใหม่เปิด "เรือนจำสหเพศ" ให้นักโทษชาย-หญิงทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อหวังลดปัญหารักร่วมเพศในเรือนจำ เป็นแห่งแรกที่เรือนจำกลางนครสวรรค์ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ผู้ต้องขังชายและหญิงได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น การศึกษาในชั้นเรียน หรือฝึกวิชาชีพในแดนส่วนกลาง (ศูนย์ทัณฑปฏิบัติ) ซึ่งจัดไว้เป็นที่ทำกิจกรรมส่วนรวมของผู้ต้องขัง ทำให้เรือนจำไม่เป็นสังคมปิดสำหรับเพศเดียวกันอีกต่อไป ผู้ต้องขังชาย-หญิงมีโอกาสที่จะติดต่อทำกิจกรรมร่วมกันภายใต้การดูแลของเจ้า หน้าที่และศูนย์โทรทัศน์วงจรปิด ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการรักร่วมเพศในหมู่ผู้ต้องขังชายด้วยกัน หรือผู้ต้องขังหญิง โดยลดความกดดันของสังคมเพศเดียวกันลง นอกจากนี้ผู้ต้องขังยังเรียนรู้การดำเนินชีวิตร่วมกับเพศตรงข้าม ทำให้ผู้ต้องขังชายลดความก้าวร้าวและเรียนรู้การมีปฏิสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม ที่ถูกต้อง
รายงานยังระบุอีกว่า สำหรับผู้ต้องขังที่จะได้รับการคัดเลือกเข้าโครงการนี้จะเป็นผู้ต้องขังที่ ผ่านการจำแนกลักษณะผู้ต้องขังแล้ว โดยได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เช่น โครงการนวดฝ่าเท้า โครงการฝึกอาชีพหมอดู โครงการชุมชนบำบัด โครงการบำบัดผู้กระทำผิดทางเพศ โครงการบำบัดผู้ต้องขังในคดีที่ใช้ความรุนแรงในการกระทำผิด โครงการบำบัดผู้ต้องขังที่ใช้ความรุนแรงในครอบครัว และการเข้าศึกษาในชั้นเรียนต่างๆ เป็นต้นดูเพิ่มเติม
หลายคนอาจคิดว่าการมีเพศสัมพันธ์กับเพศ เดียวกันในคุกเป็นการข่มขืนกัน แต่อันที่จริงแล้วมีนักโทษน้อยกว่า๓%ที่รายงานว่าถูกข่มขืนระหว่างอยู่ในคุก (สงสัยว่าเป็นไปได้มั้ยว่ามีมากกว่านี้ แต่รู้สึกเสียเชิงชายที่ต้องบอกว่าตัวเองถูกข่มขืน ...แค่สงสัยน่ะครับ)
อย่าง ไรก็ตามตัวเลขดังกล่าว (๓%) นั้นขึ้นอยู่กับว่าเราให้ความหมายของคำว่า "ข่มขืน" ว่าอย่างไร เพราะมีนักโทษบางคนที่ห่วงความปลอดภัยในชีวิตยอมให้เซ็กส์เซอร์วิสแก่นักโทษ ที่แข็งแกร่งกว่า เพื่อขอความคุ้มครอง ชายเหล่านี้ย่อมรู้สึกว่าตนถูกสถานการณ์บีบบังคับ (ผู้เขียนกำลังจะบอกว่า คนที่ถูกสถานการณ์บังคับให้ "ยอม" ก็น่าจัดอยู่ในคนที่ถูกข่มขืนด้วย เพราะไม่ได้เต็มใจจริงๆ สรุปคือคนเขียนแกขยายความหมาย "ข่มขืน" ให้กว้างกว่าเดิม)
ทั้งนี้ ผลการวิจัยดังกล่าวเปิดเผยว่า จากการศึกษาพบว่า ผู้ต้องขังที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศจะมีประมาณร้อยละ 1-2 ของผู้ต้องขังทั้งหมด(หรืออาจมีมากกว่านั้น) ในขณะที่มีอีกร้อยละ 2-3 ที่มีพฤติกรรมแอบแฝง หรือรักร่วมเพศชั่วคราว เพื่อระบายความใคร่ขณะอยู่ในเรือนจำ
สำหรับผู้ต้องขังที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ หรือรักร่วมเพศมาก่อนเข้าเรือนจำบางคน บอกเล่าว่า เมื่อเข้ามาอยู่ในเรือนจำจะมีผู้ต้องขังชายเข้ามาตีสนิท ให้คำแนะนำในการใช้ชีวิตและสร้างความมั่นใจ รวมถึงข่มขู่เพื่อให้ได้มีเพศสัมพันธ์ในลักษณะรักร่วมเพศ
"พฤติกรรมรัก ร่วมเพศครั้งแรกในเรือนจำเป็นไปในลักษณะจำยอม และจะร่วมกันในลักษณะจับคู่ฉันสามีภรรยาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งสามารถปรับตัวเข้ากับการใช้ชีวิตในเรือนจำได้ ก็จะเริ่มหาคู่ใหม่ในลักษณะที่ตนพึงพอใจอย่างแท้จริง"
พฤติกรรมรัก ร่วมเพศเกิดบ่อยที่สุดในวันหยุดที่ปิดโรงงาน บริเวณมุมอับต่างๆ ภายในเรือนจำฯ ที่เอื้ออำนวย เช่น มิดชิด หรือไกลจากเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้บางครั้งการลักลอบมีเพศสัมพันธ์ในที่อื่นๆ เช่น ในโรงงาน ในเรือนนอน โดยฝ่ายผู้กระทำจะเป็นฝ่ายชักชวน และผู้มีพฤติกรรมรักร่วมเพศมักรวมกลุ่มกัน ผลัดกันดูต้นทาง
นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ต้องขังชายภายในเรือนจำฯ มีค่านิยมแสดงออกในการรักร่วมเพศเพื่อโอ้อวด และการจับคู่ระหว่างผู้ต้องขังชายเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในกลุ่มผู้ต้องขัง โดยระหว่างที่อยู่กันเป็นคู่ผู้กระทำ (ขาใหญ่) จะเป็นฝ่ายเลี้ยงดูผู้ถูกกระทำ ความสัมพันธ์จะมีระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 1 ปี และส่วนใหญ่จะมีพฤติกรรมรักร่วมเพศกับผู้ต้องขังชายอื่นมากกว่า 1 คน ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ถ้าฝ่ายผู้กระทำสามารถมีความสัมพันธ์กับคนใหม่ โดยที่ผู้ถูกกระคนคนแรก ก็ต้องจำใจต้องยินยอมความเป็นไป ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ แม้กระทั้งจะแอบมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนใหม่ถ้าโดนจับได้ และมีการล้อเลียนกันเกิดขึ้นก็ถือเป็นเรื่องที่ถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีของ ชายอีกฝ่ายได้ อาจทำให้เกิดความรุนแรงภายขึ้นได้
ซึ่งพฤติกรรมดัง กล่าวมักจะสร้างปัญหาความวุ่นวายในเรือนจำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศกลุ่มผู้ถูกกระทำ ที่ภายในเรือนจำมีศัพท์เฉพาะเรียกว่า "น้อง" จะมีอิทธิพลด้านจิตใจต่อผู้ต้องขังชายอื่น เกิดค่านิยมที่ขัดต่อระเบียบวินัยเรือนจำ เช่น การสัก การตกแต่งอวัยวะเพศ ปัญหาการทะเลาะวิวาทที่เกิดจากความหึงหวง ค่านิยมการเลี้ยงน้องที่ก่อปัญหาการลักขโมยของผู้ต้องขังอื่น การพึ่งพาญาติที่อยู่ภายนอกเกินกว่าความจำเป็น ปัญหาด้านหนี้สิน พ่อค้าเถื่อน และที่สำคัญคือปัญหาการแพร่ระบาดของโรคเอดส์
ปัจจุบันมีมาตรการใหม่เปิด "เรือนจำสหเพศ" ให้นักโทษชาย-หญิงทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อหวังลดปัญหารักร่วมเพศในเรือนจำ เป็นแห่งแรกที่เรือนจำกลางนครสวรรค์ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ผู้ต้องขังชายและหญิงได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น การศึกษาในชั้นเรียน หรือฝึกวิชาชีพในแดนส่วนกลาง (ศูนย์ทัณฑปฏิบัติ) ซึ่งจัดไว้เป็นที่ทำกิจกรรมส่วนรวมของผู้ต้องขัง ทำให้เรือนจำไม่เป็นสังคมปิดสำหรับเพศเดียวกันอีกต่อไป ผู้ต้องขังชาย-หญิงมีโอกาสที่จะติดต่อทำกิจกรรมร่วมกันภายใต้การดูแลของเจ้า หน้าที่และศูนย์โทรทัศน์วงจรปิด ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการรักร่วมเพศในหมู่ผู้ต้องขังชายด้วยกัน หรือผู้ต้องขังหญิง โดยลดความกดดันของสังคมเพศเดียวกันลง นอกจากนี้ผู้ต้องขังยังเรียนรู้การดำเนินชีวิตร่วมกับเพศตรงข้าม ทำให้ผู้ต้องขังชายลดความก้าวร้าวและเรียนรู้การมีปฏิสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม ที่ถูกต้อง
รายงานยังระบุอีกว่า สำหรับผู้ต้องขังที่จะได้รับการคัดเลือกเข้าโครงการนี้จะเป็นผู้ต้องขังที่ ผ่านการจำแนกลักษณะผู้ต้องขังแล้ว โดยได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เช่น โครงการนวดฝ่าเท้า โครงการฝึกอาชีพหมอดู โครงการชุมชนบำบัด โครงการบำบัดผู้กระทำผิดทางเพศ โครงการบำบัดผู้ต้องขังในคดีที่ใช้ความรุนแรงในการกระทำผิด โครงการบำบัดผู้ต้องขังที่ใช้ความรุนแรงในครอบครัว และการเข้าศึกษาในชั้นเรียนต่างๆ เป็นต้นดูเพิ่มเติม
"
ผู้คุมเรือนจำผู้คร่ำประสบการณ์ เผยเรื่อง "ลึก...แต่ไม่ลับ" หลังกำแพงคุก
ระบุ คดีข่มขืนเพศเดียวกันเป็นเรื่องธรรมดา แฉใช้ผ้าห่ม คลุมตามมุมอับทำ
"ม่านรูด 5 บาท" เพื่อระบายกำหนัด "
ผู้ต้องขังจะแอบนำผ้าห่มไปขึงทำเป็นห้องตามมุมอับต่างๆ ที่ลับต...าผู้คุม และจะมีศัพท์เฉพาะเป็นที่รู้กันว่า "ม่านรูด 5 บาท" ใครที่ต้องการ ระบายอารมณ์ทางเพศก็สามารถเข้าไปใช้บริการกันได้
"ความ ต้องการทางเพศ" เป็นแรงปรารถนาขั้นสามัญ ของมนุษย์ปุถุชนทั่วไปที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ และแม้แต่ หลังกำแพงสูงในเรือนจำที่มีแต่คนเพศพันธุ์เดียวกันก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน แต่การระบายออกซึ่งความใคร่นั้นคงกระทำได้เพียง 2 ทางเท่านั้น คือ ช่วย (เหลือ) ตัวเอง และใช้เพื่อนผู้ต้องขังด้วยกันเป็นที่ระบาย
ฉะนั้น ศัพท์บัญญัติประเภท "ตุ๋ย" "ถั่วดำ" หรือ "ตีฉิ่ง" จึงเป็น เรื่องสามัญประจำคุกที่ "คนวงใน" ต่างรู้กันดี และคงจะไม่เกิดปัญหา หากการกระทำเหล่านั้นเกิดจากความยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย
ทว่า เมื่อการระบายความใคร่กลายเป็นเรื่อง "เสพสมบ่มิสม" ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เรื่องราวก็อาจลุกลามใหญ่โตถึงขั้นเป็นคดีความขึ้น ได้ดังเช่น "เรื่องขมขื่น" ที่เกิดกับ ผู้ต้องขังชาย (ขช.) โจ้ (นามสมมติ) อายุ 20 ปี นักโทษในเรือนจำจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งถูก ขช.อภิชาติ รอดเจริญ อายุ 25 ปี บังคับขืนใจหลายครั้งจนรูทวารหนักมีอาการอักเสบ และฉีกขาด แถมร่างกายยังเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ เพราะถูกทำร้าย
ขช.อภิชาติ รับสารภาพว่า ได้ก่อเหตุดังกล่าวจริง แต่ไม่ได้ทำร้ายร่างกายหรือบังคับแต่อย่างใด เพราะ ขช.โจ้ มีลักษณะ เบี่ยงเบนทางเพศอยู่แล้ว และยังมีสามีเป็นผู้ต้องขังด้วยกัน แต่หลังจากที่อยู่ใกล้ชิดทำให้เกิดอารมณ์ทางเพศจนลักลอบแอบ มีเพศสัมพันธ์กัน ทำให้ "สามี" ของ ขช.โจ้ จับได้ว่าแอบลักลอบได้เสียกันขึ้น จึงได้บังคับให้ ขช.โจ้ ไปแจ้งให้ผู้คุมทราบเพื่อดำเนินคดี ซึ่งตน ก็ขอยอมรับผิดไปตามที่มีการแจ้งความทุกประการ
"สารวัตรครับ ผมทดลองดูแล้ว มันสนุกกว่ามีเพศสัมพันธ์ กับผู้หญิงเสียอีก" ขช.อภิชาติ กล่าวหน้าตาเฉย ในระหว่างที่ พ.ต.ต.ตุลวุฒิ ได้เข้าไปสอบปากคำถึงเรือนจำจังหวัดพิษณุโลก
อย่างไรก็ตาม คดีทำนองนี้แม้จะดูพิลึกพิลั่น สำหรับ "คนนอก" แต่สำหรับ "คนใน" แล้วเป็นเรื่องที่พบเห็น กันจนชาชิน เพียงแต่เรื่องราวเหล่านั้นไม่ได้ถูกแพร่งพราย สู่โลกภายนอกดังเช่นคดีดังกล่าวเท่านั้น
ผู้คุมเรือนจำผู้คร่ำหวอดในแวดวง "คนคุก" รายหนึ่ง เล่าเป็นวิทยาทานว่า คดีรักอลวนประเภท "ชายข่มขืนชาย" และ "หญิงข่มขืนหญิง" หลังกำแพงคุกเกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว โดยเฉพาะ ในยามที่มี "น้องใหม่" ย่างกรายเข้ามาเพื่อชดใช้ "กรรม" ที่ตัวเองได้ก่อขึ้น
ทั้งนี้ หากผู้ต้องขังเข้ามาใหม่มีลักษณะ "เบี่ยงเบนทางเพศ " ก็จะต้องรีบหา "สามี" ให้ทันที เพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหา "แก่งแย่ง" หรือ "ข่มขืน" ขึ้นมาได้ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้ต้องขังด้วย
การระบายออกทางเพศของผู้ต้องขังนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในเรือนนอน หรือสถานที่ลับตาต่างๆ ในเรือนจำที่คิดว่าจะสามารถเล็ดลอดสายตาของผู้คุมได้ โดยเฉพาะในวันหยุดของเรือนจำต่างๆ ที่ปล่อยให้ผู้ต้องขังมีอิสระ และไม่ต้องทำงาน
"ในวันดังกล่าวจะถือว่า "เป็นนาทีทอง" ของกลุ่มผู้ต้องขังที่ต้องการ ระบายออกทางเพศก็ว่าได้ โดยกลุ่มผู้ต้องขังจะแอบนำผ้าห่มไปขึงทำเป็น ห้องตามมุมอับต่างๆ ที่ลับตาผู้คุม และจะมีศัพท์เฉพาะเป็นที่รู้กันว่า "ม่านรูด 5 บาท" ใครที่ต้องการระบายอารมณ์ทางเพศก็สามารถเข้าไปใช้บริการกันได้ ในราคาขั้นต่ำที่ตกลงกันไว้ก็คือ 5 บาท หรือใช้สิ่งของที่มีมูลค่าแทนเงินสด 5 บาทก็ได้" ผู้คุมมากประสบการณ์ เผยถึงเรื่องราวในแดนสนธยาได้อย่างออกรส
กระนั้นเขาก็เห็นใจผู้คุมเรือนจำ และไม่อยากให้มีการตำหนิกัน มากในเรื่องนี้ โดยให้เหตุผลว่า "การทำแบบนี้ก็พอจะลดความกำหนัดลงไปได้ ชั่วครั้งชั่วคราว เพราะถ้าเข้มงวดกวดขันกันมากไป ก็อาจเกิดปัญหาการ "ข่มขืน" เพศเดียวกัน ภายในเรือนจำได้อย่างที่เป็นข่าว"
คำบอกเล่าของ ผู้คุมรายนี้เป็นสภาพความเป็นจริงของ "สังคมคนคุก" ที่ต้องทำใจ ยอมรับ เพราะขึ้นชื่อว่า "คน" ย่อมมีความทะยานอยากในเรื่อง กิน-ถ่าย-นอนหลับ และกำหนัดในอารมณ์ แต่ถ้าทำโดยที่อีกฝ่าย "ไม่ยินยอม" ก็สมควร ถูกดำเนินคดี และยังถูกเพิ่มโทษได้ง่ายๆ ดังเช่นที่เป็นข่าว
ผู้ต้องขังจะแอบนำผ้าห่มไปขึงทำเป็นห้องตามมุมอับต่างๆ ที่ลับต...าผู้คุม และจะมีศัพท์เฉพาะเป็นที่รู้กันว่า "ม่านรูด 5 บาท" ใครที่ต้องการ ระบายอารมณ์ทางเพศก็สามารถเข้าไปใช้บริการกันได้
"ความ ต้องการทางเพศ" เป็นแรงปรารถนาขั้นสามัญ ของมนุษย์ปุถุชนทั่วไปที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ และแม้แต่ หลังกำแพงสูงในเรือนจำที่มีแต่คนเพศพันธุ์เดียวกันก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน แต่การระบายออกซึ่งความใคร่นั้นคงกระทำได้เพียง 2 ทางเท่านั้น คือ ช่วย (เหลือ) ตัวเอง และใช้เพื่อนผู้ต้องขังด้วยกันเป็นที่ระบาย
ฉะนั้น ศัพท์บัญญัติประเภท "ตุ๋ย" "ถั่วดำ" หรือ "ตีฉิ่ง" จึงเป็น เรื่องสามัญประจำคุกที่ "คนวงใน" ต่างรู้กันดี และคงจะไม่เกิดปัญหา หากการกระทำเหล่านั้นเกิดจากความยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย
ทว่า เมื่อการระบายความใคร่กลายเป็นเรื่อง "เสพสมบ่มิสม" ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เรื่องราวก็อาจลุกลามใหญ่โตถึงขั้นเป็นคดีความขึ้น ได้ดังเช่น "เรื่องขมขื่น" ที่เกิดกับ ผู้ต้องขังชาย (ขช.) โจ้ (นามสมมติ) อายุ 20 ปี นักโทษในเรือนจำจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งถูก ขช.อภิชาติ รอดเจริญ อายุ 25 ปี บังคับขืนใจหลายครั้งจนรูทวารหนักมีอาการอักเสบ และฉีกขาด แถมร่างกายยังเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ เพราะถูกทำร้าย
ขช.อภิชาติ รับสารภาพว่า ได้ก่อเหตุดังกล่าวจริง แต่ไม่ได้ทำร้ายร่างกายหรือบังคับแต่อย่างใด เพราะ ขช.โจ้ มีลักษณะ เบี่ยงเบนทางเพศอยู่แล้ว และยังมีสามีเป็นผู้ต้องขังด้วยกัน แต่หลังจากที่อยู่ใกล้ชิดทำให้เกิดอารมณ์ทางเพศจนลักลอบแอบ มีเพศสัมพันธ์กัน ทำให้ "สามี" ของ ขช.โจ้ จับได้ว่าแอบลักลอบได้เสียกันขึ้น จึงได้บังคับให้ ขช.โจ้ ไปแจ้งให้ผู้คุมทราบเพื่อดำเนินคดี ซึ่งตน ก็ขอยอมรับผิดไปตามที่มีการแจ้งความทุกประการ
"สารวัตรครับ ผมทดลองดูแล้ว มันสนุกกว่ามีเพศสัมพันธ์ กับผู้หญิงเสียอีก" ขช.อภิชาติ กล่าวหน้าตาเฉย ในระหว่างที่ พ.ต.ต.ตุลวุฒิ ได้เข้าไปสอบปากคำถึงเรือนจำจังหวัดพิษณุโลก
อย่างไรก็ตาม คดีทำนองนี้แม้จะดูพิลึกพิลั่น สำหรับ "คนนอก" แต่สำหรับ "คนใน" แล้วเป็นเรื่องที่พบเห็น กันจนชาชิน เพียงแต่เรื่องราวเหล่านั้นไม่ได้ถูกแพร่งพราย สู่โลกภายนอกดังเช่นคดีดังกล่าวเท่านั้น
ผู้คุมเรือนจำผู้คร่ำหวอดในแวดวง "คนคุก" รายหนึ่ง เล่าเป็นวิทยาทานว่า คดีรักอลวนประเภท "ชายข่มขืนชาย" และ "หญิงข่มขืนหญิง" หลังกำแพงคุกเกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว โดยเฉพาะ ในยามที่มี "น้องใหม่" ย่างกรายเข้ามาเพื่อชดใช้ "กรรม" ที่ตัวเองได้ก่อขึ้น
ทั้งนี้ หากผู้ต้องขังเข้ามาใหม่มีลักษณะ "เบี่ยงเบนทางเพศ " ก็จะต้องรีบหา "สามี" ให้ทันที เพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหา "แก่งแย่ง" หรือ "ข่มขืน" ขึ้นมาได้ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้ต้องขังด้วย
การระบายออกทางเพศของผู้ต้องขังนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในเรือนนอน หรือสถานที่ลับตาต่างๆ ในเรือนจำที่คิดว่าจะสามารถเล็ดลอดสายตาของผู้คุมได้ โดยเฉพาะในวันหยุดของเรือนจำต่างๆ ที่ปล่อยให้ผู้ต้องขังมีอิสระ และไม่ต้องทำงาน
"ในวันดังกล่าวจะถือว่า "เป็นนาทีทอง" ของกลุ่มผู้ต้องขังที่ต้องการ ระบายออกทางเพศก็ว่าได้ โดยกลุ่มผู้ต้องขังจะแอบนำผ้าห่มไปขึงทำเป็น ห้องตามมุมอับต่างๆ ที่ลับตาผู้คุม และจะมีศัพท์เฉพาะเป็นที่รู้กันว่า "ม่านรูด 5 บาท" ใครที่ต้องการระบายอารมณ์ทางเพศก็สามารถเข้าไปใช้บริการกันได้ ในราคาขั้นต่ำที่ตกลงกันไว้ก็คือ 5 บาท หรือใช้สิ่งของที่มีมูลค่าแทนเงินสด 5 บาทก็ได้" ผู้คุมมากประสบการณ์ เผยถึงเรื่องราวในแดนสนธยาได้อย่างออกรส
กระนั้นเขาก็เห็นใจผู้คุมเรือนจำ และไม่อยากให้มีการตำหนิกัน มากในเรื่องนี้ โดยให้เหตุผลว่า "การทำแบบนี้ก็พอจะลดความกำหนัดลงไปได้ ชั่วครั้งชั่วคราว เพราะถ้าเข้มงวดกวดขันกันมากไป ก็อาจเกิดปัญหาการ "ข่มขืน" เพศเดียวกัน ภายในเรือนจำได้อย่างที่เป็นข่าว"
คำบอกเล่าของ ผู้คุมรายนี้เป็นสภาพความเป็นจริงของ "สังคมคนคุก" ที่ต้องทำใจ ยอมรับ เพราะขึ้นชื่อว่า "คน" ย่อมมีความทะยานอยากในเรื่อง กิน-ถ่าย-นอนหลับ และกำหนัดในอารมณ์ แต่ถ้าทำโดยที่อีกฝ่าย "ไม่ยินยอม" ก็สมควร ถูกดำเนินคดี และยังถูกเพิ่มโทษได้ง่ายๆ ดังเช่นที่เป็นข่าว
postjung.com